วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Download 2009 ฉบับเขาชนไก่ (6)

Download 2009
Donington Park, Leicestershire
June 12-14, 2009


หลังๆรู้สึกชักวนอยู่กับที่เหลือเกิน เทศกาลก็จบไปเป็นเดือนแล้วยังเขียนไม่จบซักที

ก็มาถึงตอนสุดท้ายของ Download 2009 กันแล้ว

อย่างที่เคยว่าไว้ในตอนก่อนคือวันอาทิตย์ ทาง Live Nation ที่เป็นผู้จัด เขาวางคิวไว้ให้เป็นวันของ Classic Rock โดยเฉพาะ Main Stage นั้น ถ้าไม่ใช่วงรุ่นเก่า ก็ต้องเป็นหน้าใหม่ที่เล่นดนตรีย้อนกลับไปยังยุค 70s-80s เท่านั้น ส่วนแนวอื่นๆก็ยังพอมีให้เลือกดูได้ตามเวทีอื่น

หลังจากตากแดดมาสามวันเต็มๆ พอถึงเช้าวันอาทิตย์ก็เริ่มรู้สึกถึงความปวดแสบปวดร้อนจากอาการแดดเผาบ้างแล้ว โดยเฉพาะเวลาอาบน้ำ แต่ด้วยความที่อยู่มาถึงวันที่สี่ ยังไม่มีโอกาสได้ส่องกระจกมองหน้าตัวเองชัดๆเลยไม่รู้ว่าเละขนาดไหน (ก็ขนาดกลับบ้านมาแล้ว หน้ายังเป็นสองสีจากรอยแว่นกันแดดไปอีกเป็นอาทิตย์)

และก็ไอ้ด้วยความไม่รู้นี่แหละ ทำให้ไม่คิดจะหาที่หลบแดดอีก คือในใจคิดว่ามันก็แค่ทำให้ผิวคล้ำขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น ทีนี้ก็เลยลุยขึ้นไปนั่งรอเกือบถึงแถวหน้าของ Main Stage กันตั้งแต่หัววันเลย


หน้า Main Stage ตอนประมาณสิบโมงเศษๆก่อนวงแรกจะขึ้นเวที

สำหรับวงแรกที่ประเดิมวันของ Classic Rock ตอนสิบเอ็ดโมงเช้า ก็คือ Stone Gods ที่มี Dan Hawkins กับ Richie Edwards อดีตสองสมาชิก The Darkness เป็นแกนหลัก

คือหลังจาก Justin Hawkins แยกตัวออกไป ทั้ง Hawkins คนน้องกับ Edwards รวมถึง Ed Graham ก็ตัดสินใจฟอร์มวงขึ้นใหม่ โดยได้ Toby MacFarlaine เพื่อนเก่ามาเล่นเบสให้ ส่วน Edwards ก็ขยับไปเล่นริธึ่มกีตาร์/ร้องนำแทน พร้อมเปลี่ยนแนวมาเล่นฮารดร็อคที่ซีเรียสขึ้นทั้งดนตรีและเนื้อหา ชนิดไม่มีตรงไหนคล้ายกับ The Darkness อีกเลย

มีเวลาแค่ยี่สิบนาทีบนเวที Stone Gods ก็ไม่ได้พูดพร่ำอะไรมาก อัดกันเนื้อๆเน้นๆรวมทั้งหมดแค่ห้าเพลง ที่นึกออกก็มี Burn the Witch เพลงเปิดอัลบั้มชุดแรก Silver Spoons & Broken Bones และปิดด้วย Defend or Die ที่แปลกก็คือไม่ยักหยิบเอา Knight of The Living Dead ที่เป็นซิงเกิ้ลขึันมาเล่นแฮะ


Stone Gods วงแรกของ Main Stage ในคอนเซ็ปต์วัน Classic Rock

ถัดจาก Stone Gods ก็ถึงคิวของวงที่อยากดูมานานแล้ว เพิ่งจะสบโอกาสเอาก็คราวนี้เอง สำหรับ Tesla

จะเสียดายก็นิดหน่อยตรงไม่ใช่คลาสสิคไลน์อัพแบบ 100% เพราะ Tommy Skeoch
มือกีตาร์อีกคนลาออกไปดูแลครอบครัวตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน แต่นอกจาก Dave Rude ที่มาแทนแล้ว อีกสี่คนที่เหลือยังเป็นชุดเดิมทั้งหมด

ก่อนจะมาที่โดนิงตัน ก็เพิ่งมีโอกาสฟังงานชุดล่าสุด Forever More ได้ไม่นาน รวมๆแล้วถือว่าเข้าที่เข้าทางกว่า Into the Now เยอะ (ไม่นับอัลบั้ม กับ EP รวมเพลงคัฟเวอร์ที่ออกมาคั่นกลาง) และก็ดูเหมือนว่าทางวงจะอยู่ระหว่างยูโรเปี้ยนทัวร์โปรโมทงานชุดนี้พอดี เพราะเพลงแรกที่งัดขึันมาก็คือ Forever More เพลงเก่งของอัลบั้มด้วย

แต่อาจจะเพราะเวลาไม่อำนวยเท่าไหร่ ทางวงก็เลยเลือกเอาใจแฟนเก่าเป็นหลักด้วยการขุดเพลงเก่าๆขึ้นมาเล่นต่อเนื่องจนจบ ทั้ง Heaven's Trail (No Way Out), Signs, Cumin' Atcha Live และที่ขาดไม่ได้คือ Modern Day Cowboy งานนี้บอกได้คำเดียวว่าอิ่ม เพราะดูแล้ว โอกาสจะได้ยล Tesla อีกซักครั้ง คงเป็นเรื่องยากยิ่งกว่ายากจริงๆ


Tesla เล่นได้น่าประทับใจมากกับช่วงเวลาสั้นๆแค่ยี่สิบนาที

ปกติจะต้องหนีไปหาที่หลบแดดแล้ว แต่เห็นรายชื่อวงถัดไป ก็งงๆว่าใช่ Skin ที่รู้จักรึเปล่า ปรากฎว่าใช่แฮะ พอกลับไปค้นประวัติทีหลัง ปรากฎว่าเป็นการกลับมารวมตัวกันเพื่องานนี้โดยเฉพาะ หลังได้รับการทาบทามจากทางผู้จัด แถมยังเป็นสมาชิกยุคแรกทั้งหมดอีกต่างหาก แต่บอกได้เลยว่าจำหน้าตาแต่ละคนไม่ได้ ทั้ง Myke Gray (กีตาร์) กับ Andy Robbins (เบส) โกนหัวจนเกลี้ยง ส่วน Neville MacDonald ก็ไม่ได้ไว้ผมยาวเหมือนแต่ก่อน

เวลาดูไปก็อาศัยขุดลิ้นชักความทรงจำขึันไปด้วย จำไม่ได้ทั้งหมดหรอกว่า Skin เล่นอะไรไปบ้าง นึกดูละกันว่าสมัยนั้นยังเป็นเทปคาสเซ็ตต์อยู่เลย (น่าจะออกกับ EMI นะ) ที่ชัวร์ๆก็มี Money, House of Love กับ Look but Don't Touch จากชุดแรกนี่แหละ


Baby... Baby... Look but Don't Touch กับ Skin

กดมารวดสามวงก็ชักเริ่มเหนื่อยแล้ว เห็นรายชื่อวงถัดไปเป็น Black Stone Cherry ที่ผสมโพสต์กรันจ์กับเซาเธิร์นร็อค แล้วรู้สึกเฉยๆ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะดูหรือไม่ดู

แต่ระหว่างเดินออกมาซื้อเบียร์กระดกให้ชื่นใจซักหน่อย ก็ได้ยินเสียงซาวนด์เช็คจากเวที Redb
ull ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามลอยมาเข้าหู เป็นริฟฟ์กีตาร์กระชากๆ สำเนียงดุใช้ได้ เลยแวะเข้าไปดูหน่อย เพราะสองวันก่อนไม่เคยเฉียดเข้าไปเลย

จะว่าดวงมันพามาเจอวงน่าสนใจก็ไม่ผิด เพราะ Jett Black ที่กำลังจะขึ้นเวที มันมีอะไรคล้ายกับวงโปรดอย่าง Black Tide กับ Airbourne มาก ทั้งเรื่องอายุอานามที่ไม่เท่าไหร่ แต่กลับเล่นเฮฟวี่ เมทั่ลย้อนกลับไปยุค 80s ได้มันเข้าไส้ โดยเฉพาะมือกีตาร์สองคนที่ผลัดกันร้อง ผลัดกันโซโล่ไฟแลบ

แต่ด้วยความที่เป็นวงหน้าใหม่ แถมอยู่ในเวทีร่ม คนที่อยู่ในเต็นท์เลยหนักไปทางมาหลบแดดมากกว่าจะฟังเพลงแบบจริงๆจังๆ นึกแล้วก็เสียดายแทน

พอกลับถึงบ้านแล้วลองค้นในเว็บดู ระวังอย่าไปสับสนกับ Jett Black ของอเมริกัน เพราะวงนี้เป็นของยูเค ถ้าอยากรู้ว่าเพลงของวงนี้เป็นยังไงให้ลองเข้าไปฟังที่ www.myspace.com/jettblackuk แต่อัลบั้มยังไม่ออกซักที ใน itunes ก็มีแค่ Jett Black อีกวง ระวังอย่าไปซื้อผิดล่ะ


Jett Black วงหน้าใหม่ที่เจ๋งเกินคาด

ถัดจาก Jett Black ก็ถึงคราววกกลับมาที่ Main Stage อีกครั้ง แต่คราวนี้จะฝ่าดงมนุษย์ไปถึงด้านหน้าคงทำไม่ได้แล้ว เพราะคนทยอยกันมาเพียบ ยิ่งมีคนถือ Weekend Ticket มาเสริม ทีนี้จะกิน จะเข้าห้องน้ำ จะดูคอนเสิร์ต อะไรก็แออัดไปหมด

สำหรับช่วงบ่ายของ Main Stage นั้น เป็นช่วงของคนแก่อย่างแท้จริง เพราะมีแต่วงรุ่นน้าทั้งนั้น เริ่มจาก Journey ที่ปัจจุบันเปลี่ยนกระบอกเสียงมาเป็น Arnel Pineda นักร้องนำชาวฟิลิปปินส์ หลังจาก Steve Augeri มีปัญหาเรื่องเส้นเสียง ส่วน Jeff Scott Soto โดนไล่ออกไป

ถึงจะเป็นฟิลิปิโน แต่สำเนียงของ Pineda ก็ไม่มี วั๋น ตรู๋ ตรี๋ แบบที่เราชอบล้อเลียนกัน ทั้งน้ำเสียงและพลังก็ต้องบอกว่าไม่แพ้นักร้องนำคนก่อนๆของวงเลย ขนาดที่สื่อในชิลี (เวทีแรกในการเปิดตัว Pineda) ยังยกให้ว่าอยู่ในระดับเทียบเคียง Steve Perry ไปโน่น อันนี้ก็แล้วแต่คนจะคิด แต่ถ้าว่ากันโดยรวมแล้ว ต้องยอมรับว่าไม่มีอะไรบกพร่องจริงๆ รวมถึงการแสดงบนเวทีต่อหน้าคนหลายหมื่นในวันนี้ด้วย

ด้วยความที่มีดีกรีแก่กล้าซักหน่อย Journey ก็เลยมีเวลาอยู่บนเวทีพอสมควร (น่าจะประมาณ 30-40 นาทีเห็นจะได้) แต่ไม่ยักกล้าหยิบเพลงจากชุดใหม่มาเล่นเลย คือส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงขาประจำแบบเพลย์เซฟทั้งเซ็ต ไล่จาก Separate Ways (Worlds Apart), Stone in Love, Ask the Lonely, Wheel in the Sky, Faithfully, Don't Stop Believin' ปิดท้ายด้วย Anyway You Want It


Journey ถ้าเป็นมวยก็ต้องบอกว่าชกแบบประคอง ไม่เปลืองตัวเท่าไหร่

ตามโปรแกรมถัดจาก Journey ก็เป็น Dream Theater อีกหนึ่งวงโปรด แต่อารมณ์นั้น มีอะไรดลใจให้ลุกไปดูวงอื่นก็ไม่ทราบ อาจจะเพราะรู้สึกว่าอากาศร้อนๆแบบนี้ มันไม่เหมาะกับนั่งฟังเพลงในแบบของ DT เท่าไหร่ ก็เลยเดินแวะไปเวทีสอง เห็นป้ายผ้า Volbeat ติดอยู่

คิดอยู่ซักพัก ก็นึกออกว่าเป็นวงที่รุ่นน้องบอกว่า Daniel Agger กองหลังทีมชาติเดนมาร์กโปรดปราน ก็เลยลองยืนดูอยู่ซักหน่อย อารมณ์เพลงก็แปลกๆดี เหมือนจับเอา คันทรี่/ร็อคอะบิลลี่/โพสต์กรันจ์ มาผสมกัน คือมันไม่ค่อยกลืนกันเท่าไหร่ในความรู้สึกส่วนตัว แต่ก็ถือเป็นความพยายามที่แหวกแนวดี

มีอยู่เพลงหนึ่งที่อุทิศให้กับ Johnny Cash แล้ว ก็เล่นออกมาในแนวๆนั้นเลย และที่ฮาดีคือนักร้องนำค่อนข้างจะปากหวานมาก ชมคนดูข้างล่างตลอด ก่อนจะปิดท้ายด้วย I Only Wanna Be With You ของ Dusty Springfield ซะงั้น!?!


Volbeat วงลูกผสมอารมณ์ดี ไม่ใช่เมทั่ลแท้ๆแต่เล่นสดสนุกทีเดียว

ไปๆมาๆ แทนที่จะขยับไปดูเวทีอื่น ก็ฝังรากอยู่ที่ Second Stage นั่นแหละ เพราะตามคิวนั้นมี Buckcherry หนึ่งในสองเป้าหมายที่ดึงดูดให้บากบั่นมาถึงโดนิงตัน

แต่ก่อนจะถึงคิวของ Buckcherry เป็น Shinedown โพสต์กรันจ์ที่กำลังมาแรง ขึ้นมาแ
สดงก่อน

พูดถึง Shinedown ส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่างจากวงในสไตล์เดียวกันซักเท่าไหร่ ทั้งเสียงร้องหรือดนตรี แต่รวมๆแล้วก็โอเค พอฟังได้

มีหลายเพลงที่คุ้นหูเหมือนกัน เพราะนี่เป็นช่วงอัลบั้ม The Sound of Madness ก็ได้รับการโปรโมทที่นี่พอสมควร ที่นึกออกก็มีไตเติ้ลแทร็ค, Devour และก็ Second Chance


Shinedown โพสต์กรันจ์ที่กำลังดัง ฝีมือไม่เลว แต่ฟังแล้วแยกกับวงแนวๆเดียวกันไม่ค่อยออก

หลังจาก Shinedown ลงเวทีไปได้ซักพัก ก็เป็นคิวของ Clutch สโตเนอร์ร็อค ที่ฟังชุดล่าสุดบางเพลงก็เตลิดไปถึงขนาดเอาบลูส์มาผสมด้วยแล้ว แต่บนเวทีก็ยังใส่กันเต็มเหนี่ยวอยู่

เพลงส่วนใหญ่ที่เลือกมาเล่น ก็จะย้อนกลับไปชุด Blast Tyrant ผสมกับเพลงจาก
ชุดใหม่แค่สองอัลบั้มเท่านั้นเอง ฟังแล้วก็มันๆมึนๆดีเหมือนกัน (อย่างหลังเพราะกดไปแล้วสี่ห้าไพนท์ด้วย) แต่อดีไม่ใช่แนวถนัดเท่าไหร่ เลยแค่โยกๆตามเป็นพิธีเท่านั้น


Clutch สโตเนอร์ร็อคเล่นมัน แต่คนเขียนเริ่มมึนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์

ตอนที่ Clutch นี่ก็สารภาพตรงๆเลยว่าตอนนั้นคิดแค่ "เมื่อไหร่จะจบซักทีวะ" เพราะวงถัดไปที่จะขึ้นเวทีก็คือ Buckcherry นั่นเอง พอ Clutch จบปุ๊บ ก็รีบพุ่งขึ้นหน้าทันที ก็ถือว่าตำแหน่งยืนโอเคทีเดียวคือแถวที่สองตรงกับตำแหน่งของชุดกลองพอดี เรียกว่ามาดูสามวัน ก็เพิ่งมีคราวนี้แหละที่เบียดเสียดขึ้นมาอยู่ตรงนี้ได้

รอไม่นานเท่าไหร่ สมาชิกของ Buckcherry ก็ทยอยขึ้นเวทีมาทีละรายสองราย ก่อนที่ Josh Todd จะขึั้นมาเป็นคนสุดท้าย แล้วก็เริ่มต้นใส่กันเน้นๆด้วย Rescue Me จากชุดล่าสุด Black Butterfly กับ Lit Up ที่ตรงช่วงกลางเพลงต้องมีการยุส่งให้คนดูตะโกน Cocaine-Cocaine ไปมา จะว่าไปมันก็คล้ายๆกับทุกที่ที่ไปเล่นยังไงชอบกลแฮะ

ถึงจะมีอัลบั้มชุดใหม่ออกมาแล้ว แต่ดูเหมือนแฟนเพลงที่อังกฤษจะยังฝังใจกับ 15 มากกว่า ทางวงก็เลยต้องงัดวัตถุดิบจากชุดนั้นมาเล่นเยอะหน่อย อย่าง Broken Glass, Sorry และก็ปิดท้ายด้วย Crazy Bitch ที่เหมือนจะกลายเป็นเพลงชาติของวงไปแล้ว

แต่ไม่รู้สึกไปเองรึเปล่าว่าพอเล่นสดแล้ว ซาวนด์ของ Buckcherry มันฟังหลวมๆยังไงชอบกลถ้าเทียบกับหลายๆวงที่เล่นสไตล์ใกล้เคียงกัน อันนี้ไว้รอไปพิสูจน์อีกทีตอนปลายเดือนก.ค. ในงาน
Kerrang Awards อีกที ได้ความว่าไง แล้วเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง


ด้วยความที่เป็นวงเด็กเส้น Buckcherry ก็เลยมีรูปมาฝากเยอะหน่อย


Jimmy Ashhurst มือเบส กับ Stevie D. ริธึ่มกีตาร์


Todd กับ Xavier Muriel มือกลอง


Keith Nelson รวยแล้วชักฉุ

ดู Buckcherry จนหนำใจ แล้วก็ถึงเวลาโยกย้ายไปเก็บบรรยากาศช่วงท้ายของวัน เพราะวงรองสุดท้ายของ Second Stage อย่าง Paparoach ไม่ค่อยอยู่ในความสนใจเท่าไหร่ เลยกลับไปที่เวทีใหญ่ตามเดิม ตอนนั้น Whitesnake ก็ขึ้นมาเล่นได้ซักพักแล้ว

อาศัยความที่ Good To Be Bad อัลบั้มล่าสุดซิวทั้งเงินทั้งกล่อง David Coverdale กับชาวคณะก็เลยเล่นเพลงจากชุดใหม่สลับกับเพลงฮิตระดับคลาสสิคของวงไปได้แบบกลมกลืน

ที่เด็ดดวงมากๆคือลีลาของคู่มือกีตาร์ที่เข้าขั้นกีตาร์ฮีโร่ด้วยกันทั้งคู่ จนตอนแนะนำสมาชิกในวง Coverdale ตั้งฉายาให้ Doug Aldrich เป็น Lord of Les Paul ไปโน่น แต่คนที่ตั้งใจมาดูแบบเน้นๆเลยคือ Reb Beach แล้วก็ไม่ผิดหวัง

ถึงจะไม่ใช่เฮดไลน์ แต่ศักดิ์ศรีของ Whitesnake ก็ไม่ได้เป็นรอง Def Leppard ไม่เท่าไหร่ เลยได้เล่นราวๆชั่วโมงกว่า ก่อนจะปิดฉากด้วยเพลงที่เดากันได้ง่ายมาก Still of The
Night เสียดายไม่มี Fool for Your Lovin' เพลงโปรดอยู่ด้วย


Whitesnake มีรูปแค่นี้แหละ นั่งกินไก่ทอดอยู่ ขี้เกียจลุกไปถ่ายใกล้ๆ

ทีนี้ก็เหลือแค่สองชอยส์แล้ว ระหว่างเฮดไลเนอร์ของเวทีหลักคือ Def Leppard กับ Trivium ด้วยความที่ยังไม่อิ่มจาก Unholy Alliance ก็เลยเลือกไปดู Trivium ก่อน เพราะรู้ว่ายังไง Leppard ก็มีเวลานานกว่า (น่าจะประมาณสองชั่วโมงเศษ)

ระหว่างเดินจากเวทีแรกไปเวทีสองก็มีฝรั่งออกเนิร์ดๆหน่อยเข้ามาทักด้วย เพราะวันนั้นใส่เสื้อ Unholy Alliance พอดี คงเห็นว่าเป็นของแปลก เพราะอยู่มาหลายวันไม่ค่อยมีใครใส่เสื้อของ Slayer กันเลย (ที่เห็นเยอะสุด ไม่ใช่วงในงานก็เป็น Metallica กับ Guns N' Roses) แต่ตอนนั้นก็เมาได้ที่แล้ว เลยคุยกันแบบงูๆปลาๆ ก่อนจะแยกย้ายกันไปเข้าห้องน้ำ (555+)

พูดถึงเรื่องความนิยม Trivium นี่ก็ถือว่าใช้ได้เลย คือแฟนเพียบจนเบียดเข้าไปไม่ได้ ก็เลยต้องอาศัยวิธีดูห่างๆแบบนี้แหละ

ส่วนเพลงที่เลือกมาเล่นก็ค่อนข้างจะเน้นชุดล่าสุด Shogun เป็นหลัก (Kirisute Gomen, Down from the Sky, Throes of Perdition, Into The Mouth of Hell We March) เสริมด้วยเพลงจาก Ascendancy ส่วน The Crusade ที่ไม่ค่อยเป็นตัวเองเท่าไหร่ จะหลุดมาก็แค่ Anthem (We are the Fire) เพลงเดียว


Trivium เฮดไลเนอร์ของ Second Stage ในวันอาทิตย์

จบจาก Trivium ก็ราวๆเกือบสามทุ่มแล้ว ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี คือเทียบกับสองวันก่อน ช่วงเย็น แดดจะน้อยกว่าปกติ เพราะมองไกลๆเห็นเมฆฝนตั้งเค้าอยู่บ้าง แต่ก็เหมือนแค่ขู่ให้กลัวเท่านั้น ไม่มีใครสนใจเท่าไหร่

ถึงตอนนี้ทุกคนจากทุกเวทีก็ค่อยทยอยมารวมตัวกันที่เวทีแรก ลองเช็กดูจาก Set List ก็รู้สึกว่าจะปาเข้าไปครึ่งทางแล้ว เพราะเดินมาถึงก็กำลังขึ้นอินโทร Two Steps Behind พอดี



ฟ้าที่โดนิงตันตอนสองทุ่มเกือบสามทุ่ม กำลังสวย

พูดถึงตรงนี้ก็มีเรื่องขำนิดนึง คือระหว่างเดินจากเวทีสองมาเวทีแรก ก็มีฝรั่งอีกคนเดินมาถามว่านี่วงสุดท้ายแล้วใช่มั้ย อันนั้นไม่แปลกเท่าไหร่ คือพี่แกดันถามว่านี่ชื่อวงอะไรด้วยนี่สิ

โห ขนาดดั้นด้นจ่ายเงินเข้ามาดูถึงที่นี่ แต่ไม่รู้จัก Def Leppard มันก็กระไรอยู่นะ



Def Leppard ถ่ายจากระยะไกลมองไม่เห็น ถ่ายจากจอมาให้ดูละกัน

เพลงที่ Def Leppard เล่นในคืนนั้น ก็แทบจะขุดกรุเพลงฮิตของวงที่มีทั้งหมดมาเล่น คือมานั่งนับเรียงกันดู นอกจากเพลงในอัลบั้มใหม่ที่แทรกมานิดหน่อย ก็เหลือเชื่อเหมือนกันว่ามันจะมีเพลงฮิตเยอะอะไรขนาดนั้น (ดูเอาจาก set list ด้านล่างละกัน) ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินกลับเข้าหลังเวทีพอเล่น Rock of Ages จบ

แต่ด้วยความที่วันนี้เป็นเหมือนคอนเสิร์ตใหญ่ของวงแบบกลายๆ ก็เลยต้องมีอังกอร์กันหน่อย ขนาดช่วงนี้มีคนทยอยเดินออกจากอารีน่าบ้างแล้ว แต่รวมๆก็ยังน่าจะเกินครึ่งแสนอยู่ดี เสียงร้องตามใน When Love and Hate Collide เลยดังกระหึ่ม ก่อนจะปิดท้
าย Download Festival อย่างเป็นทางการด้วย Let's Get Rocked

ก็บอกได้คำเดียวว่าหมดสภาพละฮะ ห้าวันสี่คืนตั้งแต่วันเดินทางออกจากบ้านจนถึงวันกลับ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่คงไม่ได้มีกันบ่อยๆ (มีบ่อยก็หมดตูด) เพราะลองคำนวณค่าใช้จ่ายทุกอย่างดูแล้ว ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทยได้สบายๆ

ที่สำคัญคือไม่ใช่แค่่การเงินอย่างเดียวที่มีปัญหา ร่างกายก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน อย่างที่บอกไว้คือการทาครีมกันแดดไม่มากพอ ทำให้ผิวทั้งหน้าทั้งตัวไหม้หมด ปากก็แตกลอกเป็นแผ่นๆเหมือนเด็กดักแด้ไปอีกเป็นอาทิตย์

ถึงปีหน้าจะมีโอกาสมาอีกที ก็ชักไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าจะสะพายเป้มาลำบา
กตรากตรำแบบนี้อีกครั้งรึเปล่า...

ปล. ขอบคุณทุกคนมากที่อดทนอ่านกันมาจนจบ


Def Leppard set list
1. Rocket
2. Action
3. C'mon C'mon
4. Make Love Like A Man
5. Too Late For Love
6. Nine Lives
7. Love Bites
8. Rock On
9. Two Steps Behind
10. Bringin' On The Heartbreak
11. Switch 625
12. Hysteria
13. Animal
14. Armageddon It
15. Photograph
16. Pour Some Sugar On Me
17. Rock Of Ages
Encore:
18. When Love and Hate Collide
19. Let's Get Rocked

ไม่มีความคิดเห็น: