วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Detroit Metal City: ฝัน บ้า &...เอ่อ เดธ เมทัล (มั้ง!?!)



-1-
จะทำยังไงดี เมื่อความฝันและความหวังสวนทางกับความเป็นจริง

คงมีหลายคนที่วาดฝันถึงอนาคตข้างหน้าว่าอยากเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่เมื่อเวลาผ่าน สิ่งที่เคยคิดเคยฝันไว้มันชักห่างไกลออกไปทุกที

สำหรับ Soichi Negishi หนุ่มบ้านนอกเจ้าของผมทรงหัวเห็ดก็คงจัดอยู่ในข่ายนั้น

เดาเอาว่าส่วนใหญ่ของคนที่เล่นดนตรี หรืออย่างน้อยซักวูบหนึ่งต้องเคยคิดจะยึดสิ่งนี้เป็นอาชีพ Negishi ก็เช่นกัน นั่นคือการมีผลงานของตัวเอง และเป็นที่ชื่นชมของผู้คน

ห้าปีผ่าน หลังหอบกีตาร์คู่ใจจากบ้านนอกมาเผชิญโลกกว้าง Negishi ก็ "เหมือนจะ" บรรลุเป้าหมาย นั่นคือได้ยึดอาชีพนักดนตรีตามที่ฝันไว้ มีงานเป็นของตัวเอง แถมยังมีแฟนระดับสาวกรายล้อมอยู่รอบตัว

ปัญหาคือความสำเร็จที่ได้มา กลับไม่ใช่ในรูปแบบที่เจ้าตัวต้องการ นั่นคืองานเพลงในแบบสวีดิชป็อป แต่แทบจะยืนอยู่อีกฟากเลยก็ไม่ผิด ในบทบาทของ Johannes Krauser II นักร้องนำและมือกีตาร์ของวงเดธ เมทัลนาม Detroit Metal City!?!

-2-
พล็อตที่ว่า เปิดช่องให้เล่นกับบุคลิกสองแบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ระหว่างตัวจริงของ Negishi ที่สุภาพ เรียบร้อย ฝันจะประสบความสำเร็จด้วยเพลงรักที่แค่ชื่อเพลงก็ชวนเลี่ยน Amai Koibito (Sweet Baby) หรือ Raspberry Kiss กับบทบาทแสร้งทำ (หรือด้านมืดที่ซ่อนอยู่?) ในการเป็น Krauser ที่ต้องดิบ โหด เถื่อน และชั่วร้ายสุดขีด ร้องแต่เพลงที่เกี่ยวกับการข่มขืน ฆาตกรรม และความตาย

และไอ้พล็อตที่ว่านี้แหละ ทำให้การ์ตูนตลกฝีมือ Kiminori Wakasugi เรื่องนี้ มียอดขายรวมแล้วกว่าสองล้านเล่มในญี่ปุ่น



ลองอ่านข้อมูลคร่าวๆของ Wakasugi ดูแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน ตรงที่เจ้าตัวยอมรับว่าไม่ได้สนใจหรือฟังเพลงเฮฟวี่ หรือ เดธ เมทัล อะไร แต่กลับเลือกเขียนมังงะที่พาดพิงถึงดนตรีแนวนี้

แต่ชื่อเรื่องที่เป็นชื่อเดียวกับวงของ Negishi ก็น่าจะมีที่มามาจาก Detroit Rock City เพลงของ KISS รวมถึงการแต่งหน้าแต่งตาของสมาชิกในวงด้วย



จะว่าไป ก็คงไม่ต่างกับ Yoichi Takahashi คนเขียน Captain Tsubasa ที่ตอนเริ่มเรื่องแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฟุตบอลนั่นแหละ แต่อาศัยว่าเล่าเรื่องได้เก่ง เล่าได้สนุก จนกลายเป็นการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จจนได้ กระทั่งถูกนำไปต่อยอดด้วยการสร้างเป็นภาพยนตร์ในเวลาต่อมา

-3-



พูดถึงการสร้างภาพยนตร์จากมังงะเรื่องยาว แถมยังไม่จบ ก็ขึ้นอยู่กับคนเขียนบทเหมือนกันว่าจะเล่าเรื่องแล้วหาบทสรุปได้ดีแค่ไหน



พูดถึงตรงนี้ ก็ต้องบอกว่า Mika Omori คนเขียนบท กับ Toshio Lee ผู้กำกับทำออกมาได้ถึงกึ๋นจริงๆ ทั้งลูกล่อลูกชนตั้งแต่ต้นจนจบ คือเป็นหนังตลกที่เป็นหนังและทำออกมาให้ดูตลก ไม่ใช่หนังตลกของไทย ซึ่งเป็นอะไรซักอย่างความยาวชั่วโมงเศษ แล้วเปิดโอกาสให้นักแสดงตลกอิมโพรไวส์กันไปเรื่อย

เสริมด้วยการแสดงของนักแสดงทุกคน โดยเฉพาะตัวเอก Kenichi Matsuyama (Shin จาก Nana และ L จากไตรภาค Death Note) ที่แรดได้ใจมากในเวลาที่เป็น Negishi และบ้าสุดขีดเช่นกันในตอนที่ต้องแปลงโฉมเป็น Krauser แถมยังเป็นเจ้าของเสียงร้องในทั้งสองบทบาทอีกด้วย คือถ้าเป็นตามข้อมูลนี้จริงๆ ก็ต้องบอกว่าหมอนี่สุดๆเหมือนกัน

-4-



พูดถึงเรื่องดนตรี เพลงของ DMC ในภาพยนตร์ คงไม่ถึงกับเป็นเดธแบบเต็มร้อย จะว่าไปมันออกไปทางอัลเทอร์เนทีฟ เมทัลที่มีส่วนผสมของเดธอยู่ด้วยมากกว่า

คือลองฟังเพลงเอกของเรื่องอย่าง Satsugai ก็ออกจะคล้ายๆกับ Slipknot อยู่พอสมควร ซึ่งก็น่าจะใกล้เคียงกับเดธมากที่สุดแล้ว

แต่บางเพลงอย่าง Maou หรือเพลงของ Jack Ill Dark (รับบทโดย Gene Simmons มือเบสของ KISS ซะด้วย) ที่ในเรื่องเป็นตำนานแบล็ค เมทัล มันค่อนไปทางฮาร์ดร็อคซะมากกว่า



ก็ถือว่าดูและฟังกันแบบขำๆ อย่าไปซีเรียสมากว่าใช่หรือไม่ใช่เดธ เมทัลตามท้องเรื่อง หรือทำไม DMC มันเป็นแค่วงสามชิ้น แต่เวลา Krauser ปล่อยมือจากกีตาร์ไปจับไมค์ ยังมีเสียงเล่นกีตาร์อยู่ เดี๋ยวจะงงกันเปล่าๆ เพราะจุดประสงค์หลักของเรื่องคือความตลก ซึ่งทีมงานก็ตอบโจทย์ได้สมบูรณ์แล้ว

ขณะเดียวกัน ก็อาจจะแฝงแง่คิดไว้เล็กๆน้อยๆด้วยว่าบางทีต่อให้สิ่งที่เรากำลังทำอยู่มันอาจจะไม่ตรงกับความต้องการแท้จริงของเราเอง

แต่หากมันสร้างความสุขและมอบความฝันให้คนอื่นได้ เหมือนที่ Negishi มอบให้กับแฟนเพลงในคราบของ Krauser

แบบนั้นก็อาจเรียกได้ว่าความสำเร็จเหมือนกัน...

-5-

ปิดท้ายด้วยคลิปจากชอตฮาที่สุดของเรื่อง (ตามความเห็นส่วนตัว) คือถ้ายังไม่ได้ดูหนังแบบเต็มๆก็เก็บเอาไว้ก่อนก็ได้

ดูแล้วก็บอกได้คำเดียวว่า Matsuyama มันกระแดะได้ใจจริงๆ

ไม่มีความคิดเห็น: