
อันข้างบนที่ลงไว้ไม่ใช่นะครับ จะเป็นแนวตั้ง แต่เป็นรูปเดียวกันนี่แหละ คือ Joseph Gordon-Levitt พระเอกของเรื่องในเสื้อยืดที่รวบรวมความทรงจำของตัวกับสาวตาโตหน้าจิ้มลิ้ม Zooey Deschanel
ที่สะดุด คือชื่อเรื่องกับเวลาฉาย ไม่ได้ไปด้วยกันเลย เพราะตอนนั้น ตามปฏิทินคือเป็นรอยต่อระหว่างฤดูร้อน (summer) กับช่วงฤดูใบไม้ร่วง (fall)
ทีแรกยังแอบด่าในใจว่ามาผิดเวลารึเปล่าเนี่ย
ปริศนาทั้งหมดมากระจ่างชัดเอาทีหลังว่า Summer ที่ว่า ไม่ใช่ฤดู แต่เป็นชื่อของนางเอก(?)ในเรื่องที่รับบทโดยน้อง Zooey คนน่ารักนั่นเอง
ใจนึงก็อยากตีตั๋วเข้าไปดู...
อีกใจก็นึก เซ็งว่ะ เข้าไปดูหนังรักคนเดียวในโรง ราคาที่นี่ก็ไม่ใช่ถูกๆ (จริงๆราคาตั๋วในเมืองไทย + น้ำ + ข้าวโพด ก็เกือบจะเท่ากันแล้วนะ)
สุดท้ายก็ว่าปล่อยไป เดี๋ยวค่อยกลับไปหา DVD ดูที่เมืองไทยก็ได้
ผ่านไปสองสัปดาห์หลังจากหนังเข้า ความอยากที่ว่าก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง ระหว่างบทสนทนาทางไกลกับเพื่อนคนนึงทาง multiply (http://nongentle.multiply.com/video/item/65/The_Temper_Trap_-_Sweet_Disposition)
เอามาลงโดยยังไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของบล็อกเลยนะนี่
ว่าแล้วก็กลับไปหา trailer หนังใน youtube มาดูกันก่อน
นี่ไม่ใช่ love story นะ แต่เป็น story of boy meets girl
อืม... นี่พยายามจะบอกอะไรเป็นนัยรึเปล่า
ย้อนกลับไปดูโปสเตอร์หนังข้างบนอีกทีนะครับ ไม่ใช่ตรง The coolest romantic comedy of the year. แต่ให้ดูตัวหนังสือสีขาวจางๆที่เกือบจะกลืนไปกับสีฟ้าของฉากหลัง
Boy meets Girl.
Boy falls in love.
Girl doesn't.
เอาหน่ะ มันอาจจะเป็นแค่ลูกเล่นนิดๆหน่อยๆ ก็อาจจะเป็นหนังจีบหญิงก็ได้ ถ้ารักกันตั้งแต่ต้น หนังก็จบสิ
สุดท้ายด้วยความอยากจัด (อ้างอิงจากบทสนทนาข้างต้น) ทางออกคือดาวน์โหลดฉบับที่หลุดออกมาดู นัยว่าไม่สนุกก็เจ๊ากันไป ชอบเดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง
60 นาทีของการโหลด (เน็ตที่นี่แรง ขอโทษ)
95 นาทีของการนั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊คผ่านไป คล้ายกับมีอะไรจุกอยู่ที่คอ
(คำเตือน: นับจากบรรทัดข้างล่างนี้ไป คือการสปอยล์หนังอย่างแรง แม้คนเขียนจะมีความเชื่อส่วนตัวว่าไม่มีผลกับอรรถรสในการชมก็ตาม)
ตัวจริงไม่น่ารักเหมือนหน้าหนัง ไม่อบอุ่นเหมือนชื่อเรื่อง
กรุณาย้อนกลับไปดูตัวหนังสือจางๆข้างบนอีกครั้ง
Boy meets Girl.
Boy falls in love.
Girl doesn't.
ถูกครับ
นี่เป็นเรื่องของผู้ชายอกหักหนึ่งคนกับช่วงเวลาห้าร้อยวันที่มีทั้งสุขและเศร้าคละเคล้ากันไป ผ่านวิธีการเล่าเรื่องที่มีสไตล์และเท่อย่างร้ายกาจ
เอาแค่หมายเหตุจากผู้ร่วมเขียนบทที่ขึ้นมาตอนเริ่ม ก็ส่งสัญญาณเตือนแล้วว่าเรื่องที่จะได้ดูจากนี้ไปไม่ธรรมดาแน่
Author's Note: The following is a work of fiction.
Any resemblance to persons living or dead
is purely coincidental.
ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องแต่ง ถ้าจะมีส่วนไหนคล้ายคลึงกับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว ให้ถือเป็นความบังเอิญโดยแท้
Especially you Jenny Beckman.
โดยเฉพาะเธอ เจนนี่ เบ็คแมน
Bitch.
... เอ่อ คำสุดท้ายไม่ต้องแปลดีกว่ามั้ง
อ้างอิงจาก http://en.wikipedia.org/wiki/500_days_of_summer พล็อตของหนังเรื่องนี้ มีบางส่วนจากประสบการณ์ตรงของ Scott Neustadter ผู้ร่วมเขียนบท กับ Michael H. Webber (ไม่ได้แปลว่าสองคนนี้รักกันนะ)
จริงๆ การอกหักนี่เป็นเรื่องพื้นๆที่พบได้เห็นตามท้องถนนทั่วไป แต่จะเล่าเรื่องธรรมดาให้สนุกนี่สิ มันยากกว่าเป็นไหนๆ
(500) Days of Summer จึงเป็นการเล่ายอกย้อนไปมา ระหว่างช่วงเวลาหวานอมและขมกลืน ตั้งแต่วันแรกที่ Tom หนุ่มผู้ร่ำเรียนมาเป็นสถาปนิก แต่กลับมาทำงานเป็นคนเขียนและออกแบบในบริษัทผลิตการ์ดอวยพร ได้เจอกับ Summer ผู้ช่วยสาวของเจ้านาย จนถึงวันสุดท้ายที่หนุ่ม Tom "คิดตก"
จะบอกว่า Tom เป็นคนช่างฝันปนโรแมนติกนิดๆก็ได้ ตรงที่เชื่อว่า Summer คือ "ใครคนนั้น" ที่ฟ้าส่งมาให้เจอกัน
ด้วยหน้าตาสะสวยของ Summer มันดึงดูดใจ Tom ตั้งแต่แรกพบ
แต่ฉากที่ "โดน" มาก คือครั้งแรกที่สองคนได้ใกล้ชิดกันในลิฟต์ และ Tom รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ก็ชอบเพลงของ The Smiths เหมือนกัน
โอย หมัดนี้หมัดเดียวอยู่
การใช้ The Smiths วงอัลเทอร์เนทีฟที่มาก่อนยุคอัลเทอร์เนทีฟบูม เป็นตัวจุดความประทับใจให้กับ Tom ที่มีต่อ Summer มันย้ำความรู้สึกตรงนี้ได้หนักแน่นดีนะครับ
ติ๊งต่างว่าสองคนในเรื่อง อายุอานามน่าจะอยู่ช่วงยี่สิบเศษ ในช่วงเวลาที่ The Smiths แตกวงไปนานยี่สิบปีแล้ว (ถึง Morrissey กับ Johnny Marr สองแกนหลักจะยังทำงานอยู่ในวงการก็เถอะ)
สำหรับ Tom ที่ในช่วงเครดิตต้นเรื่่อง มีการใส่รายละเอียดว่าเคยเล่นดนตรีมาก่อน อาจจะไม่แปลกก็ได้ที่จะชอบ The Smiths
และในความคิดของคนที่ชอบอะไร "แนวๆ" แบบนี้ การรู้ว่าผู้หญิงหน้าตาสะสวยแบบ Summer ชอบอะไรที่มันอยู่นอกกระแส "เหมือนกัน" ย้ำว่า "เหมือนกัน"
น่าถามตัวเองว่าถ้าเจอกับใครซักคนแบบนี้ ส่วนลึกของเราจะถูกสั่นคลอนแค่ไหน
คือถ้าชอบอะไรที่ร่วมสมัย อย่าง Justin Timberlake, ดงบังชินกิ ฯลฯ หรือกระทั่งระดับไอคอนที่ลูกเด็กเล็กแดงรู้จักดี แบบ The Beatles หรือ Michael Jackson ความประทับใจแรกของ Tom อาจไม่เปรี้ยงเท่านี้ก็ได้
การเล่าแบบตัดสลับไปมาระหว่างสองช่วงเวลาเป็นระยะ ยังเสริมให้เรารู้สึกตามอารมณ์ "หวานอม ขมกลืน" ของ Tom ไปด้วย
อย่างการมองเห็นโลกทุกอย่างสดใสไปหมด ราวกับทุกคนบนโลกมาร่วมฉลอง ในเช้าวันแรกระหว่างไปทำงาน หลังจาก "คืนนั้น" ของ Tom และ Summer ก่อนจะตัดกลับมาในเช้าวันที่เจ้าตัวมีชีวิตแบบซังกะตายในทันควัน หลังจากทั้งคู่เลิกรากันไปแล้ว
บทหนังยังค่อนข้างใจร้าย (พอๆกับชีวิตจริงที่ก็โหดร้ายสำหรับคนอกหัก) ที่เขียนให้ Tom ต้องมาเจอกับ Summer อีกครั้ง ระหว่างขึั้นรถไฟไปงานแต่งงานของเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศ แถมอะไรหลายอย่างยังหยอดให้รู้สึกว่าความหวังที่ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม ยังไม่หมดซะทีเดียว
ก่อนจะตบให้ Tom ตื่นอีกครั้ง เพราะแหวนที่นิ้วนางของ Summer ระหว่างที่เจ้าตัวไปร่วมงานปาร์ตี้ตามคำเชิญบนดาดฟ้าของ "เพื่อน" สาวคนนี้
ทั้งหมดอาจจะเป็นความฝันเฟื่องของ Tom เองก็ได้ ที่คิดไปว่า Summer คือ "คนที่ใช่" แต่รายละเอียดระหว่างเรื่องก็ปูให้เห็นเหตุผลว่าทำไมพระเอกของเราถึงได้คิดและรู้สึกแบบนั้น
ถึงบทจะค่อนข้างใจร้าย แต่ก็ไม่ทำร้ายความรู้สึกจนเกินเยียวยา (เหมือนในชีวิตจริงอีกเหมือนกัน)
ที่สุดท้าย Tom ก็ "พลันคิดตก" ว่าแท้จริง โลกนี้ไม่ได้มีอะไรที่เรียกว่าปาฏิหาริย์ ไม่มีสิ่งสมมติที่เรียกว่าโชคชะตา และไม่มีอะไรที่ถูกเขียนไว้ล่วงหน้า หลังจากลุกขึ้นมาปัดฝุ่นความฝัน เปลี่ยนตัวเอง ด้วยการลาออกจากงานเขียนการ์ด และพยายามสานฝันเพื่อเป็นสถาปนิกของตัวเองให้เป็นจริง
ก็คงเหมือนกับ Neustadter ที่ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายตรงนั้นมาได้ และใช้เป็นพื้นในการเขียนบทหนังเรื่องนี้ขึ้น
ว่ากันแบบนี้ อกหักก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายถึงขั้นจะเป็นจะตายอะไร เพราะชีวิตยังเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
แต่ถ้าให้ดี อย่าให้ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้เลยดีกว่ามั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น