วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Download 2009 ฉบับเขาชนไก่ (4)

Download 2009
Donington Park, Leicestershire
June 12-14, 2009


ยืดยาดมาสามตอนแล้วไปไม่ถึงไหน หนนี้แหละน่า ถึงคิวของ Download Festival ของจริงกันซะที...

เกริ่นนำซักนิดว่า Download ก็เหมือนกับเทศกาลดนตรีอื่นๆ คือนอกจากเวทีหลักแล้ว ก็ยังเปิดโอกาสให้วงอื่นๆได้แสดงฝีมือตามเวทีอื่นที่มีขนาดลดหลั่นกันไป จากเดิมที่มีแค่สองเวทีในปีแรก ก็ค่อยๆขยายขึ้นมาเป็น 4 เวทีตั้งแต่ปี 2006 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน


ปีนี้ นอกจาก Main Stage กับ Second Stage แล้ว ก็จะมีเวทีในร่มสองแห่งที่ตั้งตามชื่อสปอนเซอร์คือ Tuborg Stage และก็ Bedroomjam.com Stage ของทาง Red Bull

และด้วยความที่รายชื่อของวงที่เข้าร่วมในแต่ละเวทียาวเหยียด ฉะนั้น ทุกวงนอกจากเฮดไลเนอร์กับวงรองสุดท้ายเท่านั้นที่จะมีเวลาอยู่บนเวทีเกิน 20 นาที เรียกว่าขึ้นปุ๊บต้องใส่กันทันที ไม่มีอารัมภบทยืดยาด และต้องตรงเวลาทุกราย

เช็กรายชื่อของวันแรก เป้าหลักที่เล็งไว้ก็คือ Motley Crue วงหลักของ Second Stage ที่จะขึ้นเล่นตอนสองทุ่มครึ่ง ฉะนั้น ในวันศุกร์ที่เริ่มงานตอนบ่ายโมงก็มีเวลาถมเถในการโต๋เต๋สอดส่องวงอื่นๆ

เลือกๆดูแล้วก็เลยตัดสินใจประเดิม Download ด้วย Steadlur วงแรกของ Second Stage ไม่มีเหตุผลอื่น นอกจากอาศัยโหงวเฮ้งของวงที่มาแบบแฮร์แบนด์ยุค 80s แบบเต็มสูบ (พักหลัง Roadrunner ชักหันมาจับตลาดนี้ถี่ขึ้น หลังจาก Airbourne ฮาร์ดร็อคย้อนยุคประสบความสำเร็จ)


Steadlur แฮร์แบนด์/สลีซร็อคเลือดใหม่จาก Roadrunner

เรื่องภาพลักษณ์อะไรนี่ถือว่าใช้ได้เหมือนกัน คือดูดิบเถื่อนดี แต่พอฟังเสียงร้องสดๆของ Philip Steadlur นักร้องนำ รวมถึงการเอนเตอร์เทนคนดูแล้วยังธรรมดาไปหน่อย รวมๆแล้วคงต้องทำการบ้านหนัก ถ้าหวังจะประสบความสำเร็จ อันนี้เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวนะ ส่วนใครสน
ใจทดลองฟังดูก่อนได้ที่ www.myspace.com/steadlur

ระหว่างที่ยืนดูก็บอกได้คำเดียวว่าร้อนตับแลบ เพราะแดดแรงมาก จนทีแรกเลยคิดว่าพอจบ Steadlur แล้วจะหาที่หลบแดดซักหน่อย แต่เหลียวซ้ายแลขวา ปรากฎว่ามีแต่แผ่นดินโล่งๆไม่มีที่ให้หลบแดด เลยกัดฟันป้วนเปี้ยนแถวเวทีสองต่อ เพื่อรอดู In This Moment เมโลดิก เมทั่ลคอร์ ที่มีนักร้องนำหญิงเป็นตัวชูโรง

ทีนี้เองจะเห็นความแตกต่างแบบชัดเจนมาก ระหว่างวงที่มีประสบการณ์แล้วกับ Steadlur ที่เพิ่งตั้งไข่

ปกติไม่ใช่คนที่ชอบเมทั่ลคอร์อะไรมาก แต่ลีลาของน้อง Maria Brink ที่แต่งหน้าแต่งตาได้ขัดกับแนวเพลงมาก (ดูเอาจากรูป) รวมถึงเสียงร้องและการเล่นกับคนดูนั้น ดึงดูดให้สนุกไปด้วยได้ตลอด


ยิ่งตอนหยิบ Call Me ของ Blondie ขึ้นมาคัฟเวอร์ด้วย ต่อให้ไม่ใช่แฟนเพลงของ ITM ก็เลยพ
ลอยสนุกไปด้วยได้ รวมๆแล้วสอบผ่านเลย


Maria Brink ของ In this Moment กระแดะนิดๆแต่สำรากได้ใจมาก

ยืนให้แดดเผาอยู่เป็นชั่วโมง ชักทนไม่ไหว ก็เลยเดินป้วนเปี้ยนหาที่ร่มดูบ้าง ก่อนจะไปเจอะกับเวทีสามหรือ Tuborg Stage ที่ Bleed from Within กำลังโขยกอยู่พอดี เลยเป
ลี่ยนอารมณ์เล็กน้อยจากเมทั่ลคอร์มาเป็นเดธคอร์แทน

พอดีไม่ค่อยสันทัดแนวนี้เท่าไหร่ แต่ภาพรวมก็ใช้ได้เลย จะเสียตรงคนดูส่วนนึงตั้งใจเข้ามาหลบแดดในเต็นท์มากกว่าจะมาให้กำลังใจนักดนตรีเลยมีพวกที่เล่นมอชพิตอยู่หน้าเวทีแค่หยิบมือเท่านั้นเอง น่าเศร้าแทน


Bleed from Within เดธคอร์จากสกอตแลนด์ แต่นักร้องดูเหมือนพวกอีโมไปหน่อย

จบจาก Bleed from Within ก็หยิบโปรแกรมขึ้นมาเช็กดูว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง เห็นชื่อ Dir En Grey จะขึัน Second Stage ตอนบ่ายสี่โมง ก็เลยถือโอกาสเดินเล่นไปเรื่อย หาอะไรรองท้องไปพลางๆ โดยเฉพาะเบียร์ Tuborg ของเดนมาร์กที่เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ของงานนั้น รสชาติเด็ดได้ใจมาก รวมถึงไซเด
อร์ (เบียร์ผลไม้) ยี่ห้อชวนสยิวอย่าง Gaymers ก็ชวนกระดกไม่แพ้กัน...

พอกดแอลกอฮอล์เข้าร่างได้ระดับนึง ก็แวะไปยืนดู Staind ที่เวทีใหญ่อยู่พักนึง บอกได้คำเดียวว่าคิดจะฝ่าไปอยู่แถวหน้าให้ฝันไปเถอะ คนหยั่งก๊ะหนอน ว่าแล้วก็รอจนถึงบ่ายสามโมงเศษๆก็ไปยืนดู Parkway Drive เมทั่ลคอร์ (อีกแล้ว) จากออสเตรเลีย

วงนี้มาในรูปเสื้อยืดกางเกงขาสั้นกันทั้งวง เพลงมันในระดับหนึ่ง เรื่องการเอนเตอร์เทนก็ไม่เลว ดูแล้วมีแฟนประจำมารอดูกันพอสมควร



Parkway Drive เมทั่ลคอร์ขาสั้นจากออสเตรเลีย

พอ Parkway Drive เล่นจบ ฝรั่งหัวทองก็เดินออกจากหน้า Second Stage กันพรึ่บพรั่บ ปล่อยให้พวกหัวดำทั้งหลายมาออกันจนเต็มหน้าเวที ดูแล้วท่าทางงานนี้จะมีคนญี่ปุ่นมามิใช่น้อย เพื่อให้กำลังใจตัวแทนหนึ่งเดียวจากเอเชีย

เท่าที่เห็น ปัญหาของ Dir En Grey ถ้าคิดจะตีตลาดโลก ก็คือเรื่องภาษานี่แหละ เพราะเนื้อเพลงยังเป็นญี่ปุ่นล้วนๆ

ถึงบางคนจะบอกว่าดนตรีเป็นภาษาสากล แต่เพลงร็อคหรือเมทั่ลที่มันมีเรื่องของเนื้อร้องด้วย จะเล่นมันแค่ไหน ดนตรีดีแค่ไหน แต่ถ้าคนดูฟังไม่รู้เรื่อง ไอ้จะบิลด์อารมณ์ตามก็ยากจริงๆ ยังไม่นับเรื่องอคติที่คงพอมีอยู่บ้าง สังเกตได้จากฝรั่งบางส่วนที่ลองของแปลก ได้แต่ยืนดูนิ่งๆ ไม่งั้นก็ฉีกไปเฮกับ Killswith Engage ที่เวทีใหญ่กันหมด


Dir En Grey เรียกความสนใจได้น้อยไปหน่อย เพราะเรื่องภาษา

ดู Dir En Grey จบ เวลายังเหลื่อมๆกับ Killswitch Engage อยู่หน่อย เลยวิ่งไปดูที่ Main Stage พอให้หายอยาก แต่พอจะเลี้ยววกกลับมาดู Bring Me The Horizon ที่เวทีสอง ปรากฎว่าสายไปแล้ว คนแน่นเอี้ยดมากๆ ส่วนหนึี่งอาจจะเพราะเป็นวงเจ้าถิ่นด้วย ภาพที่ออกมาเลยเหมือนแอบถ่ายมากกว่า แบบที่เห็นข้างล่างเนี่ย

Bring Me The Horizon เมทั่ลคอร์/เดธคอร์ขวัญใจวัยรุ่นอังกฤษ

ไปๆมาๆ วันแรกนี่ได้แต่ดูเวทีสองตลอด เพราะจบจาก Bring Me the Horizon ก็ถึงคราวของ Lacuna Coil

พูดถึงงานชุดใหม่ Shallow Life แฟนเพลงรุ่นเก่าก่อนอาจจะเซ็งนิดหน่อย เพราะฟังแล้วไม่ค่อยให้รู้สึกว่าเป็น Gothic ซักเท่าไหร่ มันออกไปทาง Linkin Park แบบที่ไม่มีเสียงแร็ปซะมากกว่า นอกจากตัวเพลง เลยไปถึงอาร์ทเวิร์คในปกอัลบั้ม ก็พอบอกอะไรได้หลายอย่างแล้ว

ถึงแนวหลักของวงจะเปลี่ยนไปเยอะ แต่แฟนๆที่นี่ก็ยังให้การต้อนรับค่อนข้างดี ร้องตามได้ตลอด ทั้งที่เพลงส่วนใหญ่จะยกมาจาก Shallow Life เกือบหมด มีแทรกด้วยเพลงเก่าแค่ประปราย โดยเฉพาะตอน Heaven's a Lie
ขึ้นมานี่ คนยิ่งเฮกันยกใหญ่


Lacuna Coil ยุคใหม่ยังเรียกคะแนนนิยมจากแฟนเพลงได้เนื้อๆเน้นๆเหมือนเดิม

ถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มแล้ว ฟ้ายังสว่างอยู่ก็จริง (ที่อังกฤษนี่ช่วงซัมเมอร์ สามทุ่มนี่เหมือนหกโมงเย็นยังไงยังงั้น) แต่ในร่างกายมันเรียกร้องแล้วว่าหิว เลยต้องเดินไปหาอะไรรองท้องก่อน ระหว่างที่ซัดข้าวกับเทมปุระผักจากร้านจีน (แต่คนขายเป็นคนไทย) ก็นั่งดู Opeth วงรองของ Second Stage ไปพลางๆ

สงสัยปฏิกิริยาตอบรับจากคนดูด้านล่างจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ Mikael Akerfeldt มือกีตาร์/นักร้องนำของวงเลยพูดแบบกึ่งๆประชดว่าทนหน่อย เดี๋ยวเล่นเสร็จตามคิวจะรีบเปิดทางให้ Motley Crue ขึ้นมาทันที แต่ยังไม่วายหยอดว่าอย่าลืมนะ พวกเราคือ Whitesnake (555+)

นึกแล้วก็น่าเห็นใจแทนเหมือนกัน เพราะโดนจับมาคั่นไว้กับวงที่เล่นกันคนละแนวเลย แล้วคนดูส่วนนึงก็คงมายืนรอแต่เนิ่นๆเพื่อจะจองที่ได้สะดวก เลยไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับโปรเกรสซีฟหลุดโลกของ Opeth ซักเท่าไหร่

และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง พอ Opeth ลงจากเวทีปุ๊บก็รีบลุกพรวดไปเบียดเสียดกับคนที่ด้านหน้าทันที แต่ก็แค่นั้นละครับ เพราะสุดท้ายก็ไปได้แค่ตรงปริ่มๆทางฝั่งซ้าย เข้าไปไม่ถึงตรงกลาง แถมยังห่างจากเวทีเกือบๆสิบเมตรเห็นจะได้ กำลังซูมของกล้องก็เลยทำได้เท่าที่เห็น

สองทุ่มครึ่งปุ๊บ (ฟ้ายังสว่างอยู่) Motley Crue ก็ขึ้นเวทีทันทีไม่มีให้แฟนรอนาน ด้วยเพลงที่น่าจะเหมาะที่สุดกับการเริ่มต้น Kickstart My Heart แล้วก็รัวเพลงฮิตระดับคลาสสิคตามมาเป็นชุด อย่าง Shout At the Devil, Live Wire สลับกับเพลงจากชุดใหม่อย่าง Saints of Los Angeles กับ Motherfucker of The Year

จอขนาดยักษ์ทั้งสองด้าน ก็จะตัดสลับเปลี่ยนไปมาเรื่อยๆ พอจ้องไปเรื่อยๆ จะเห็นฉากจากหนังเอ็กซ์ตัดแทรกเข้ามาเป็นระยะอีกต่างหาก (แหม ชอบๆ)

ไม่ใช่แค่บนจออย่างเดียว หันไปมองด้านข้าง อาเจ๊คนนึงกลัวจะไม่สมกับเป็นคอนเสิร์ตร็อค เลยขึ้นไปขี่คอแฟนแล้วก็ถลกเสื้อโชว์ทุกครั้งที่ Vince Neil หรือ Nikki Sixx เดินแวะมาทางฝั่งซ้ายของเวที ถ้าจะมีเรื่องให้ติหน่อยนึง ก็คือท่าทางจะผ่านการใช้งานมาเยอะไปหน่อยนะ เจ๊นะ

รวมๆแล้ว Motley Crue ก็เล่นไปสิบกว่าเพลง กินเวลาราวๆสองชั่วโมงเห็นจะได้ ก่อนปิดฉากด้วย Home Sweet Home ตามด้วยการร่ำลากับคนดูอีกพักใหญ่ โดยเฉพาะ Tommy Lee ที่พูดไม่หยุดตั้งแต่ลุกขึ้นมาจากชุดกลองหลังจบเพลง ก่อนจะเรียกเสียงเฮด้วยการประกาศว่าปีหน้าจะกลับมาอีกครั้ง


Motley Crue เฮดไลเนอร์ของ Second Stage วันแรก

จริงๆจบจาก Motley Crue ก็ยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับ Faith No More วงเฮดไลน์ตัวจริงของคืนวันศุกร์

แต่ตอนนั้นบอกตามตรงว่าหมดสภาพแล้ว เลยได้แค่ยืนดูจากระยะห่างเป็นโยชน์อยู่เกือบสิบนาทีแล้วก็ถือโอกาสชิ่งไปนอนด้วยความอิ่มใจ + โทรมกาย เป็นอันจบวันแรกของ Download Festival 2009 โดยหารู้ไม่ว่าการยืนตากแดดท้ังวัน โดยไม่ทาครีมกันแดด (ทั้งๆที่ซื้อมา) จะส่งผลเสียหายใหญ่หลวงในภายหลัง...

Motley Crue Setlist (เครดิตจาก setlist.fm)
Kickstart My Heart
Wild Side
Shout At The Devil
Saints Of Los Angeles
Live Wire
Too Fast For Love / On With The Show
Motherfucker Of The Year
S.O.S.
Primal Scream
Looks That Kill
Girls, Girls, Girls
Dr. Feelgood
- Encore -
Home Sweet Home

Download 2009 ฉบับเขาชนไก่ (3)

Download 2009
Donington Park, Leicestershire
June 12-14, 2009

แหะๆ พักหลังรู้สึกชักจะขี้เกียจเกินไปหน่อย เขียนไปสองตอนแล้วก็ทิ้งช่วงไปดื้อๆซะหยั่งงั้น ไม่ค่อยจะมีอารมณ์มาต่อซักเท่าไหร่ ต้องขออภัยอย่างแรง (ถ้ามีคนตามอ่านนะ)

ตามโปรแกรมที่ตั้งใจไว้คือหอบเสื่อผืนหมอนใบมาค้างแรมที่ โดนิงตัน พาร์ค ตั้งแต่วันพฤหัสฯ เพื่อจะได้ตื่นมาพร้อมสำหรับลุยเต็มที่ ตั้งแต่วันศุกร์เป็นต้นไป

อย่างที่สารภาพบาปไว้ตั้งแต่ตอนก่อน คือเลือกจ่ายแพงเพื่อจะได้อยู่แบบสบายกว่าปกตินิดหน่อยกับแพ็คเกจ R.I.P.


แผนที่ของ Donington Park ฉบับ Download

ดูจากแผนที่ที่ลงไว้ให้จะเห็นว่า R.I.P. นั้นโดนเนรเทศแยกออกมาจากแคมป์ไซต์ปกติทั้งหกแห่งชนิดคนละฟากของ โดนิงตัน พาร์ค โดยมี Main Arena คั่นกลางไว้ คือถ้าจะลองเดินจาก R.I.P. ไปให้ถึงแคมป์ไซต์ปกติ ก็กินเวลาราวๆครึ่งชั่วโมงนั่นแหละ คิดเอาก็แล้วกันว่ามันไกลขนาดไหน

ที่ฮาเคล้าน้ำตาไปกว่านั้น คือป้ายรถเมล์ที่ลงมาน่ะ มันตั้งอยู่ใกล้กับฟากของแคมป์ไซต์มากกว่า เลยต้องแบกสัมภาระเดินต่อท่ามกลางแดดเปรี้ยง กว่าจะไปถึงฝั่ง R.I.P. ก็เล่นเอาหอบแฮ่กเหมือนกัน

และด้วยความระโหยโรยแรง แถมต้องแบกสัมภาระหนักอึ้งนี่แหละทำให้ลืมตัวไม่ได้ถ่ายรูปเก็บภาพตอนฝูงชนหอบเสื่อผืนหมอนใบมาตั้งแคมป์กันเลยแม้แต่รูปเดียว (T^T)


บรรยากาศของชาวบ้านชาวช่องขณะเดินทางมาตั้งแคมป์ (ภาพจาก download.co.uk)

ถ้าจะให้เปรียบบรรยากาศของฝั่ง R.I.P. กับแคมป์ไซต์ปกติ อย่างแรกคงเหมือนไปเที่ยวรีสอร์ตแบบกลายๆ คือมีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ แยกต่างหาก คืออาจจะรอเข้าคิวบ้าง (ประมาณครึ่งชั่วโมงถ้าเป็นช่วงพีกแบบ 7-8 โมงเช้า) แต่ถ้าเทียบกับฝั่งที่ไปเข้าแคมป์กันแบบปกติแล้ว ต้องบอกว่าคนละเรื่อง

คือแอบไปยืนดูคิวสำหรับถ่ายทุกข์หนัก-เบาของฝั่งกระโน้น บอกได้คำเดียวว่าหนักใจแทน แต่มันก็คงแลกมาด้วยความสนุก เพราะทางผู้จัดเขาเตรียมร้านค้า สวนสนุก เอาไว้ให้คนไปผ่อนคลายกันแบบเต็มที่ และถ้าอยากสนุกแบบราคาไม่แพงก็ต้องยอมทนเหม็น ทนกลั้นกันหน่อยล่ะ

ส่วนเรื่องสภาพอากาศ ทีแรก เขาเกรงกันว่าจะมีฝนมาถล่มแบบที่ กลาสตันบิวรี เจอ ทางผู้จัดเลยเตือนให้หอบรองเท้าบู๊ตยาง (Wellington Boot หรือที่เรียกสั้นๆว่า Wellies)

แต่เอาเข้าจริง ปรากฎว่ากลางวันร้อนตับแลบ กลางคืนเย็น (แถบมิดแลนด์จะค่อนข้างเย็นกว่าส่วนอื่นของประเทศ เขาว่างั้น) จะมีฝนตกมาก็แค่คืนวันพฤหัสฯ กับคืนวันอาทิตย์หลังจบคอนเสิร์ตเท่านั้น โดยเฉพาะคืนแรกที่มานอนค้างนั้น บอกได้คำเดียวว่าหนาวจับใจ ได้แต่สั่นงั่กๆอยู่ในถุงนอน ไม่ออกมาซ่าเหมือนชาวบ้านเขาเท่าไหร่

เออ เกือบลืม นอกจาก R.I.P. จะค่อนข้างสงบเงียบกว่า ยังมีเต็นท์ที่มีโลโก Download กับของแถมอีกเล็กๆน้อยๆ อย่างแก้วไพนท์พลาสติก ตุ๊กตาหมา(!?!) เสื้อยืด R.I.P. รวมถึงหนังสือโปรแกรม (ถ้าซื้อต่างหากเซตละ 10 ปอนด์) ไว้ให้เป็นที่ระลึกด้วย จริงๆไม่ค่อยรู้สึกว่าคุ้มค่าเท่าไหร่ แต่เค้าให้มาแล้วก็ต้องเอาล่ะนะ


นี่แหละของที่ระลึกที่แถมมาจากแพ็คเกจ R.I.P นอกเหนือจากเต็นท์และความสงบ

ตกลงเขียนมาสามตอนแล้วยังไม่เข้าเรื่องซักที ตอนหน้านี่แหละเลี่ยงไม่พ้นแล้ว มาแน่ กับวันแรกที่มีเป้าหมายอยู่ที่ Motley Crue!!!

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Download 2009 ฉบับเขาชนไก่ (2)



Download 2009

Donington Park, Leicestershire
June 12-14, 2009

ความเดิมจากตอนที่แล้ว หลังกลั้นใจกด confirm จ่ายเงินล่วงหน้าให้ Livenation ไป 430 ปอนด์ ก็ถึงคราวต้องหาวิธีเดินทางไปยัง โดนิงตัน พาร์ค กันต่อ

อันว่า โดนิงตัน นี่หลายคนอาจจะคุ้นๆหูกันมาบ้าง โทษฐานที่มันคือสนามจัดแข่งขันมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลกติดต่อกันมานานหลายปี แถมในปี 2010 ยังมีลุ้นเบียด ซิลเวอร์สโตน เป็นสังเวียนจัด บริติช กรังด์ปรีซ์ อีกต่างหาก

สอบถามคนรู้จักที่เคยเดินทางไปดูมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลก ได้ความว่า โดนิงตัน ตั้งอยู่ในแถบมิดแลนด์ จะเลือกตรงดิ่งไป น็อตติ้งแฮม, ดาร์บี้ หรือเมืองเล็กๆที่ชื่อ ลาฟโบโร่ (Loughborough) ก็ได้ จากนั้นก็ค่อยต่อรถบัสไปลง โดนิงตัน อีกที

อันนี้ แนะนำเลยว่าถ้าไม่อยากเบียดเสียดกับชาวบ้านก็ให้เลือกจิ้มไปที่ ลาฟโบโร่ นี่แหละ เพราะเป็นทางที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเลือกใช้ แถมวันกลับก็แสนสบาย ขณะที่คนอีกหลายหมื่นเขาเลือกมุ่งหน้าไปดาร์บี้กันไอ้เรารอไปรอขึ้นรถกลับลาฟโบโร่แบบไม่ต้องแย่งกับใคร สบายบรื๋อ

การจองตั๋วรถไฟก็ลองคลิกเข้าไปดูใน thetrainline.com จะมีทั้งวิธีจองตั๋วไป-กลับ แต่แบบนั้น ราคาจะแพงกว่า ก็ให้เลือกจองเป็นตั๋วแยกกัน คือจากลอนดอนไปลาฟโบโร่เที่ยวนึง (London St. Pancras - Loughborough) แล้วก็ตั๋วจากลาฟโบโร่ไปลอนดอนอีกเที่ยว

ทริปนี้เลือกจองออกเดินทางตอนบ่ายวันพฤหัสฯ (ไหนๆต้องจ่ายแพงขอไปนอนที่แคมป์ล่วงหน้าหนึ่งคืน เอาให้คุ้ม) แล้วกลับจากลาฟโบโร่ตอนบ่ายวันจันทร์

ไอ้การจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าสามเดือนเนี่ย ทำให้ได้ตั๋วราคาถูกมากคือ รวมแล้วไป-กลับเฉพาะรถไฟ ทริปนี้อยู่ที่ราวๆ 18-19 ปอนด์เท่านั้น

แต่ก็อย่างที่บอก คือรถไฟที่เราจองนี้ไปถึงแค่ลาฟโบโร่ ยังต้องเดินทางต่ออีกกระทอกกว่าจะไปถึงโดนิงตัน ทีนี้ละ ใครไม่เคยไปก็อาจมีปัญหานิดหน่อย

รถไฟจากลอนดอนถึงลาฟโบโร่นั้นใช้เวลาแค่ชั่วโมงเศษๆ ฉะนั้น ให้ดีอย่าเผลอหลับ ไม่งั้นอาจนั่งเลยไปไหนต่อไหนได้

พอลงรถออกจากสถานีก็ขอให้เดินตรงลูกเดียวไปราวๆยี่สิบนาที จะมีทางแยกกี่แยกก็อย่าเพิ่งไปสน เพราะจุดหมายของเราคือป้ายรถเมล์ที่ใน google maps บอกว่าอยู่ตรง city centre

ไอ้ที่ city centre ที่ว่า ไม่ใช่ตัวอาคารอะไร แต่มันเป็นย่านใจกลางเมืองนี่แหละ บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ถ้าลองสังเกตนิดหน่อย ก็จะพอเข้าใจ คือแต่ละเมืองในอังกฤษ มันก็จะมีย่านสไตล์คล้ายๆกันนี้อยู่

รถบัสที่เราจะขึ้นนั้น จะวิ่งผ่านป้าย B (stop B) ป้ายนี้จะตั้งอยู่หน้าร้านทำเล็บของคนจีนพอดี บอกกันขนาดนี้ น่าจะหาเจอไม่ยาก

จากนี้้ จะมีสายเดียวที่ไปถึง โดนิงตัน คือรถ Sky สังเกตง่ายๆก็คือ ตัววิ่งด้านหน้ารถจะระบุว่าไป Derby และไอ้ โดนิงตัน นั้น ก็อยู่ระหว่าง ลาฟโบโร่ กับ ดาร์บี้ นั่นแหละ

พอขึ้นบัสไปแล้วก็บอกกับคนขับว่าเราจะไปโดนิงตัน สนนราคาก็อยู่ที่ 2.3 ปอนด์ต่อหนึ่งเที่ยว แต่อย่าทะลึ่งไปเรียกแท็กซี่ล่ะ เพราะเคยลองเลียบๆเคียงๆแล้ว อยู่ที่ 30 ปอนด์โน่น

ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเศษๆก็ถึง หรืออาจนานกว่านั้นเล็กน้อย ในกรณีที่คนขับแวะจอดที่สนามบินนาน เพราะระหว่างทางต้องผ่านรับคนที่ลงเครื่องด้วย

ส่วนขากลับก็ไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรมาก ป้ายรถเมล์อีกฝั่งของตรงที่เราลงในวันมานั่นแหละ แต่เพื่อความชัวร์ ก็เช็กดูข้อมูลที่ป้ายอีกทีว่ารถ Sky วิ่งผ่านรึเปล่า

ติ๊งต่างเอาว่าตอนนี้สะพายเป้ ผูกเปียถือชะลอมในมือยืนอยู่หน้าโดนิงตัน พาร์ค กันแล้ว เหลือแค่รอเข้าไปสัมผัสบรรยากาศของ Download 2009 เท่านั้น

ผ่านไปสองตอน ยังไม่มีโน้ตซักตัวแว่วมาเข้าหู ตอนหน้านี่แหละ จะเริ่มลุยของจริงกันแล้วว่าสมกับเป็นเขาชนไก่ฉบับโยกหัวอย่างที่โม้ไว้รึเปล่า?

Download 2009 ฉบับเขาชนไก่ (1)



Download 2009
Donington Park, Leicestershire
June 12-14, 2009

แหม่ ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดีกับทริปนี้ เพราะตั้งแต่เป็นผู้เป็นคนมา ยังไม่เคยตรากตรำกับการดูคอนเสิร์ตขนาดนี้มาก่อน

ไอ้ที่ใกล้เคียงกับคำว่าเทศกาลที่สุด ก็หนักไปทางการจิบเบียร์ใน Huahin Jazz Fest เท่านั้น แถมไอ้คราวที่ไปก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรเลย เพราะทั้งขาไป-กลับ หรือกระทั่งเรื่องที่พักนี่มีพี่สาวแสนดีจัดให้หมดทุกอย่าง

จะมีก็หนนี้แหละที่ต้องบอกว่าเริ่มต้นแบบมืดแปดด้าน ฉะนั้น คงจะเล่ากันเป็นแบบฉากๆตั้งแต่ต้นจนจบเลยก็แล้วกัน เผื่อใครหลงเปิดเข้ามา จะได้ใช้เป็นแนวในการคลำทางไปสัมผัสบรรยากาศที่นั่นกัน

อันว่า Download Festival นี้เป็นผลิตผลจากทาง Livenation ที่ถือเป็นโปรโมเตอร์รายใหญ่ยักษ์ของที่นี่ โดยยึดเอา โดนิงตัน พาร์ค บ้านหลังเดิมของ Monster of Rock ที่ตอนนี้กลายเป็นรายการสัญจรไปเรียบร้อย และก็จัดติดต่อกันมานานเป็นปีที่ 7 แล้ว

ช่วงเวลาก็คือจะยึดเอาช่วงสุดสัปดาห์ที่สองของเดือนมิถุนายน ที่เป็นรอยต่อระหว่างช่วงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนเป็นหลัก ปีนี้ก็เลยมาลงเอยเอาระหว่างวันที่ 12-14 พอดี

ไฮไลท์ที่ทำเอาหลายคนฮือฮาพอสมควรสำหรับปีนี้ คือการรียูเนียนของ Faith no More ปู่ของอัลเทอร์เนทีฟ เมทั่ล ที่ได้รับการวางให้เป็นเฮดไลเนอร์ของวันศุกร์ และการเป็นวงเฮดไลน์หนแรกในรายการนี้ของ Slipknot ในวันเสาร์

แต่เหตุผลหลักที่ทำให้อยากพาตัวเองไปเทศกาลนี้ คือชื่อของ Motley Crue ที่ถูกวางให้เป็นเฮดไลเนอร์ของ Second Stage ในวันศุกร์ กับ Buckcherry ที่เล่น Second Stage ในวันอาทิตย์

ทีแรก ก็ยังตุ้มต่อมๆ เพราะอย่างที่บอก นอกจากค่ายลูกเสือ เขาชนไก่ และก็ ภูกระดึง ไอ้เราก็ยังไม่เคยแบกเต็นท์ไปกางนอนรวมกับชาวบ้าน ไอ้สามหนที่ว่ามา ก็ยังมีเพื่อนพ้องไปด้วย แต่นี่ ลุยเดี่ยวโลด เลยต้องทำการบ้านกันหนักหน่อย

หลังทำใจอยู่นาน ก็ตัดสินใจเลือกแพ็กเกจที่ทาง Livenation (livenation.co.uk) จัดไว้ให้คือ R.I.P. Kip & Kit (single) ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากแบกเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวไป ทีมงานจะเตรียมที่ทาง กางเต็นท์ ปูถุงนอนไว้ให้หมด แต่ก็ต้องแลกกับราคาในแบบปกติเกือบๆสามเท่า คือ 430 ปอนด์ (ถ้าพร้อมแบกทุกอย่างไปหาที่กางเต็นท์เอง รู้สึกจะอยู่แถวๆ 175 ปอนด์หรือไงเนี่ยแหละ)

ตอนที่ตัดสินใจจองไปนั้น คือช่วงปลายเดือนมีนาคม หรือก่อนหน้างานจะเริ่มประมาณสามเดือน ปอนด์กำลังอยู่ในช่วงยวบพอดี คูณ 51 กับตัวเลขข้างบนแล้ว ก็ยังถือว่าสาหัสอยู่ดีสำหรับคนเขียน

ที่พอปลอบใจตัวเองได้ก็คือมันเป็นครั้งเดียวในชีวิต พลาดแล้วอาจไม่มีโอกาสอีกก็ได้

นึกแล้วก็กด confirm จองไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากตอนกลับไปเช็กเงินในบัญชีธนาคาร

ส่วนวิธีการตะเกียกตะกายจากลอนดอนไปถึง โดนิงตัน พาร์ค เป็นอย่างไรนั้น ไปว่ากันต่อตอนหน้า...

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Download 2009 (ฉบับเรียกน้ำย่อย)

ลงให้ดูแต่รูป (ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ) กันก่อน

เอาไว้เรียกกำลังวังชากลับมาได้เมื่อไหร่ ค่อยมาซัดกันแบบเนื้อๆเน้นๆอีกที

ที่แน่ๆ ใครอยากไป เตรียมครีมกันแดดอย่างแรงไปด้วย นี่ไม่เตรียมพร้อมเท่าไหร่ กลับมาหน้าไหม้เป็นรอยแว่นกันแดดเลย ฮือๆ...


Steadlur สลีซร็อคน้องใหม่จาก Roadrunner


In this Moment


Dir En Grey ตัวแทนหนึ่งเดียวจากเอเชีย



Lacuna Coil



Motley Crue เฮดไลเนอร์ของ Second Stage ในวันแรก


Hardcore Superstar อีกหนึ่งจากสวีเดน แหล่งเพาะพันธุ์ใหม่ของสลีซ/แกลม ร็อค



The Answer ฮาร์ดร็อคจากไอร์แลนด์


Slipknot


Tesla


Volbeat ร็อคอะบิลลี่ผสมเมทัล (!?!) จากเดนมาร์ก


Shinedown


Clutch


Buckcherry


Def Leppard

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Made in England Online (5)



Manic Street Preachers
Roundhouse, London
Thursday 28 May, 2009

พูดถึงวัยรุ่นจากยุคอัลเทอร์เนทีฟ (ตอนนี้อายุเท่าไหร่กันแล้วล่ะ) หนึ่งวงที่น่าจะถือเป็นไอคอนของหลายคน คงต้องนับรวม Manic Street Preachers เอาไว้ด้วย

ถ้าอัลบั้มชุดแรก Generation Terrorists (วางตลาดปี 1992) เป็นคน ป่านนี้ก็แตกเนื้อหนุ่มหรืออาจจะดีแตกไปแล้ว

หลายวงจากยุคนั้น ผ่านมาถึงปัจจุบัน ก็มีทั้งแตกสานซ่านเซ็นกันไปบ้าง เงียบหายกลับไปเป็นที่สนใจในแวดวงเล็กๆบ้าง จะมีก็แค่ไม่กี่วงที่ยังยืนหยัดอยู่บนแถวหน้าได้อย่างมั่นคง The Manics ก็คงเป็นหนึ่งในนั้น

แน่นอนว่าด้วยวัยที่เปลี่ยนไป ความเกรี้ยวกราดสมัยยังเพิ่งพ้นวัยรุ่นก็เริ่มจางลงไป

อีกเหตุผลหนึ่งที่หลายคนเห็นตรงกันว่าทำให้ The Manics ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คือการหายสาบสูญของ Richie James Edwards มือกีตาร์ที่มีบทบาทสำคัญในการเขียนเนื้อเพลงของวง

การหายตัวไปของ Richie เปรียบไป ก็คงไม่ต่างอะไรกับการเลือกกระทำอัตวินิบาตกรรมของ Kurt Cobain จะต่างกันก็แค่วิธีที่เลือก

สิบกว่าปีผ่านไป พ่อแม่ของ Richie ตัดสินใจระบุสถานะของเจ้าตัวจากสาปสูญเป็นเสียชีวิต จะว่าไป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกคน โดยเฉพาะคนใกล้ชิดคงทำใจและเข้าใจได้แล้วว่าไม่มีวันที่ Richie จะกลับมาอีก เพราะต่างก็รู้ดีว่าการหายตัวไปครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่เจ้าตัววางแผนไว้ล่วงหน้า

หลักฐานคือแฟ้มรวบรวมเนื้อเพลง อาร์ทเวิร์ค และอื่นๆอีกจิปาถะ ที่เจ้าตัวเจตนาทิ้งไว้ให้กับเพื่อนร่วมวงอีกสามคน

ผ่านมากว่าสิบปี แฟ้มที่ว่าถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ไม่มีวี่แววว่าจะถูกหยิบขึ้นมาใช้ เหตุผลคงไม่มีอะไรมากกว่าเป็นเรื่องยากเกินทำใจสำหรับทั้งสามคนที่จะหวนกลับไประลึกถึงเพื่อนผู้จากไป

แต่อาจจะจริงอย่างที่เขาว่า กาลเวลามันช่วยเยียวยาความรู้สึกได้ ความเสียใจในวันนั้น กลายเป็นแรงใจในวันนี้ที่ The Manics ปัดฝุ่นเอาแฟ้มเล่มนี้กลับขึ้นมาใช้ จนกลายเป็นวัตถุดิบสำหรับงานชุดล่าสุด Journal for Plague Lovers


โปสเตอร์ทัวร์คราวนี้ (ภาพจาก last.fm)

จะว่านี่คือภาคต่อของอัลบั้มสุดท้ายที่ Richie ร่วมงานด้วยอย่าง Holy Bible ก็ไม่ผิด เพราะกระทั่งปกอัลบั้ม ยังเป็นภาพสีน้ำมันฝีมือของอาร์ทติสท์คนเดิม Jenny Saville ขณะที่เนื้อเพลงทั้งหมดในชุดนี้ ล้วนแต่เป็นผลงานที่ Richie ฝากไว้ทั้งหมด

สัปดาห์เดียวหลังอัลบั้มชุดนี้วางตลาด ทางวงก็เริ่มตระเวนทัวร์เพื่อโปรโมททันที ไล่จากกลาสโกว์ เรื่อยมาถึงลอนดอนเป็นโชว์ที่สามตามโปรแกรม

ด้วยความที่ความสนใจค่อนข้างล้นทะลัก เฉพาะที่ลอนดอนก็เลยต้องเล่นกันสามคืนติดต่อกัน ตั้งแต่พฤหัสบดีถึงเสาร์ ตั๋วที่หาง่ายที่สุดก็มาลงเอยเอาที่วันพฤหัสบดีนี่แหละ เพราะอีกสองวันโซลด์เอาต์กันตั้งแต่วันแรกที่ให้เปิดจอง

พูดถึง The Roundhouse สถานที่จัดแล้วก็เท่ใช่เล่น เพราะเดิมเป็นคล้ายๆกับอู่สำหรับซ่อมบำรุงรถไฟ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โน่น ก่อนจะได้รับการบูรณะใหม่หลังช่วงสงครามโลก จนกลายเป็นสถานที่จัดแสดงงานศิลปะและดนตรีเรื่อยมาถึงปัจจุบัน


นี่แล บริเวณด้านหน้าของ The Roundhouse (ภาพจิ๊กของคนอื่นจาก flickr.com)

ขนาดว่าวันพฤหัสฯไม่เปรี้ยงเท่าไหร่แล้ว แต่เอาเข้าจริง กะว่าจะรีบไปต่อคิวแต่เนิ่นๆเพื่อจะได้เกาะหน้าขอบเวที กลายเป็นว่ายังช้าไปหลายก้าว เพราะหกโมงเย็นก่อนถึงเวลาเปิดประตูหนึ่งชั่วโมง คิวเข้าก็ยาวเหยียดเลยมาไกลหลายสิบเมตรแล้ว

ที่ค่อนข้างแย่คือระบบการจัดการเคลียร์คนของสถานที่ค่อนข้างจะขลุกขลักไม่เป็นระเบียบ แถมตรวจซ้ำตรวจซ้อนจนบางครั้งคนที่มาก่อนต้องถูกคนข้างหลังแซงหน้าตลอด

ส่วนตัวก็ยังถือว่าได้อยู่ใกล้เวทีมากคือแถวสองจากรั้ว แต่ก็ยังถือว่าทัศนวิสัยไม่ดีเท่าไหร่ เพราะสาวอวบ (สวยด้วย) ที่อยู่ข้างหน้าก็เตรียมกล้องมาเหมือนกัน แล้วเวลาถ่ายก็ต่างคนต่างยก ไอ้เราที่อยู่ด้านหลัง บางครั้งถ่ายๆอยู่ กล้องคุณน้องก็เลยโผล่มาเข้าเฟรมอยู่เป็นระยะ

พอเข้าไปได้ซักพัก ไม่นานถึงขนาดรอจนหงุดหงิด วงเปิด The Answering Machine ก็ขึ้นเวที ส่วนตัวไม่ค่อยถนัดกับเพลงแนวนี้ซักเท่าไหร่ เลยแยกไม่ค่อยออกว่าดีไม่ดี แต่รวมๆแล้วก็พอฟังได้ โดยเฉพาะน้องแว่นที่เป็นมือเบสน่ารักดีเหมือนกัน (555+ ไม่เกี่ยวกับเพลงเลย)


The Answering Machine จากแมนเชสเตอร์

The Answering Machine เล่นอยู่ราวๆครึ่งชั่วโมงก็ลาโรงไป ปล่อยให้สตาฟฟ์ขึ้นมาเคลียร์อุปกรณ์เรียบร้อย ก็ถึงคิวของ The Manics กันเสียที

ด้วยความที่เป็นทัวร์โปรโมท Journal for Plague Lovers ก่อนเริ่ม ก็เลยมีการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าโชว์นี้จะมีสองเซตคือช่วงแรกจะเล่นอัลบั้มใหม่กันแบบเนื้อๆเน้นๆ ส่วนครึ่งหลังจะเน้นเพลงฮิตของวง ก็เรียกเสียงเฮจากแฟนได้ถ้วนหน้า

การจัดเวทีก็ค่อนข้างจะเรียบง่ายตามสไตล์วงคือมีเฉพาะแผ่นผ้าขนาดใหญ่ด้านหลังที่เป็นรูปปกอัลบั้มเท่านั้น

แต่ที่พิเศษหน่อยและเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากแฟนๆได้มาก คือตรงขาตั้งไมโครโฟนของ Nicky Wire นั้นพันไว้ด้วยพู่ (หรือเค้าเรียกผ้าพันคอวะ?) แบบที่เราเห็น Richie ใช้สมัยวงเพิ่งเริ่มดัง นัยว่าเพื่อเป็นการระลึกถึงเพื่อนผู้จากไปรายนี้


Wire กับขาตั้งไมค์ที่มีสัญลักษณ์ให้ระลึกถึง Richie อยู่ด้วย

ช่วงแรกนั้นก็เล่นกันแทบจะถอดมาจากตัวอัลบั้มเลยคือสตาร์ทกันด้วย Peeled Apples, Jackie Collins Existential Question Time, Me and Stephen Hawking...


ตำแหน่งที่ยืนหาโอกาสถ่ายภาพสวยๆได้ยากมาก ได้ชัดสุดแค่นี้

ด้วยความที่เพิ่งได้ซีดีมาฟังก่อนคอนเสิร์ตแค่สองสามวัน ก็เลยฟังออกร้องได้แค่งูๆปลาๆ แต่ปรากฎว่าฝรั่งทั้งฮอลล์ แม้แต่น้องคนสวยๆที่อยู่ด้านหน้าเขากลับร้องตามกันได้ทุกประโยค ทุกเพลง

มาคอนเสิร์ตก็หลายคน คราวนี้นี่แหละที่เพิ่งรู้สึกตัวเองแก่ ไม่ใช่เรื่องร้องเพลงตามไม่ได้ แต่การที่เราอยู่เกือบด้านหน้าสุดนี่แหละ ทำให้พวกข้างหลังพยายามโถมตัวเข้าใส่เบียดจนต้องบอกว่าเกือบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว

แรกๆก็เกรงใจน้องคนสวยข้างหน้า เดี๋ยวเค้าจะนึกว่าเราถือโอกาสเบียด แต่สุดท้ายก็ไม่ไหวจริงๆ (...นิ๊ม นิ่ม ฮิฮิฮิ) เพราะข้างหลังนี่ทั้งเบียด ทั้งชน ทั้งกระแทก โอกาสที่จะถือกล้องนิ่งๆถ่ายนี่มีน้อยยิ่งกว่าน้อยจริงๆ ยกเว้นก็ช่วงเพลงช้า หรือเพลงอะคูสติกอย่าง Facing:Page Top Left ที่มีเครื่องสายสี่ชิ้นขึ้นมาเล่นคลอไปด้วย

ครึ่งแรกของโชว์ก็จบกันด้วย William’s Last Words ที่หลายคนตีความว่านี่แหละคือจดหมายลาของ Richie ทีแรก ไม่คิดว่าจะได้ยินเพลงนี้ด้วยซ้ำ เพราะตอนแปลบทสัมภาษณ์ลงใน M.E. เจ้าตัวยังดักไว้ล่วงหน้าว่าอาจทำใจร้องเพลงนี้ไม่ลง

เบรกกันพอให้หายเหนื่อย ระหว่างนี้ พวกการ์ดบริเวณด้านหน้าเวที ก็ทยอยเอาน้ำใส่แก้วมาแจกให้คนดูที่เบียดเสียดกันอยู่แถวหน้าได้ดับกระหายกัน เพราะข้างใน The Roundhouse นั้นร้อนจริงๆ แถมอากาศยังไม่ค่อยถ่ายเทเท่าไหร่

เข้าเบรกที่สองนั้น บนเวทีก็มีสมาชิกสมทบเพิ่มมาอีกสองคน เป็นมือคีย์บอร์ดและกีตาร์สมทบ เพื่อให้เพลงแน่นขึ้น


สองสมาชิกสมทบในเบรกสองของโชว์

เบรกสองนี่แหละที่แทบจะขาดใจตาย เพราะทั้งเบียดทั้งกระแทกกันสุดๆ รูปเริปอะไรไม่ต้องคิดจะถ่ายแล้ว คือสนุกก็ด้วยนะ แต่ด้วยความที่ตัวเล็ก ฉะนั้น เวลาฝรั่งข้างหลังโถมมาที ก็แทบแบนแต๋เหมือนกัน (แต่ยังนิ่มอยู่...)

ไหนๆก็ถ่ายรูปแทบไม่ได้แล้ว ก็เลยปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอารมณ์คอนเสิร์ตซะหน่อย เพราะเพลงในช่วงนี้ก็ถือเป็นหัวกะทิของวงทั้งหมด ไล่ตั้งแต่เพลงแรก Motorcycle Emptiness, Faster, You Love Us, If You Tolerate This..., Australia, Motown Junk และอีกสารพัด ก่อนจะจบอย่างสวยด้วย Design For Life

รวมๆเวลาที่ The Manics อยู่บนเวทีก็สองชั่วโมงเศษ โดยไม่ต้องมีอังกอร์อะไรทั้งสิ้น เพราะเหลือบเวลาดูนาฬิกาแล้วก็เข้าช่วงห้าทุ่มที่เป็นเคอร์ฟิวพอดี

กลับถึงบ้านในอาการหมดสภาพไม่น้อย หัวเหอกระเซิงไปหมด เพราะไอ้ข้างหลังบางทียื่นมือข้างหน้ามาก็ลูบหัวขยี้หัวเราไปด้วยความเมามัน ส่วนภาพในกล้องไม่ต้องพูดถึง ไอ้ที่คัดมานี่คือที่ดีที่สุดที่พอดูได้แล้ว

ส่วนที่เหลือถึงจะไม่ชัดเท่าไหร่ ด้วยความโยกไปโยกมาตลอด แต่ก็พอจะเก็บไว้เป็นเครื่องเตือนความจำถึงหนึ่งในคอนเสิร์ตที่สนุก (และนิ่ม) ที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยดู