Donington Park, Leicestershire
June 12-14, 2009
ยืดยาดมาสามตอนแล้วไปไม่ถึงไหน หนนี้แหละน่า ถึงคิวของ Download Festival ของจริงกันซะที...
เกริ่นนำซักนิดว่า Download ก็เหมือนกับเทศกาลดนตรีอื่นๆ คือนอกจากเวทีหลักแล้ว ก็ยังเปิดโอกาสให้วงอื่นๆได้แสดงฝีมือตามเวทีอื่นที่มีขนาดลดหลั่นกันไป จากเดิมที่มีแค่สองเวทีในปีแรก ก็ค่อยๆขยายขึ้นมาเป็น 4 เวทีตั้งแต่ปี 2006 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน
ปีนี้ นอกจาก Main Stage กับ Second Stage แล้ว ก็จะมีเวทีในร่มสองแห่งที่ตั้งตามชื่อสปอนเซอร์คือ Tuborg Stage และก็ Bedroomjam.com Stage ของทาง Red Bull
และด้วยความที่รายชื่อของวงที่เข้าร่วมในแต่ละเวทียาวเหยียด ฉะนั้น ทุกวงนอกจากเฮดไลเนอร์กับวงรองสุดท้ายเท่านั้นที่จะมีเวลาอยู่บนเวทีเกิน 20 นาที เรียกว่าขึ้นปุ๊บต้องใส่กันทันที ไม่มีอารัมภบทยืดยาด และต้องตรงเวลาทุกราย
เช็กรายชื่อของวันแรก เป้าหลักที่เล็งไว้ก็คือ Motley Crue วงหลักของ Second Stage ที่จะขึ้นเล่นตอนสองทุ่มครึ่ง ฉะนั้น ในวันศุกร์ที่เริ่มงานตอนบ่ายโมงก็มีเวลาถมเถในการโต๋เต๋สอดส่องวงอื่นๆ
เลือกๆดูแล้วก็เลยตัดสินใจประเดิม Download ด้วย Steadlur วงแรกของ Second Stage ไม่มีเหตุผลอื่น นอกจากอาศัยโหงวเฮ้งของวงที่มาแบบแฮร์แบนด์ยุค 80s แบบเต็มสูบ (พักหลัง Roadrunner ชักหันมาจับตลาดนี้ถี่ขึ้น หลังจาก Airbourne ฮาร์ดร็อคย้อนยุคประสบความสำเร็จ)

Steadlur แฮร์แบนด์/สลีซร็อคเลือดใหม่จาก Roadrunner
เรื่องภาพลักษณ์อะไรนี่ถือว่าใช้ได้เหมือนกัน คือดูดิบเถื่อนดี แต่พอฟังเสียงร้องสดๆของ Philip Steadlur นักร้องนำ รวมถึงการเอนเตอร์เทนคนดูแล้วยังธรรมดาไปหน่อย รวมๆแล้วคงต้องทำการบ้านหนัก ถ้าหวังจะประสบความสำเร็จ อันนี้เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวนะ ส่วนใครสนใจทดลองฟังดูก่อนได้ที่ www.myspace.com/steadlur
ระหว่างที่ยืนดูก็บอกได้คำเดียวว่าร้อนตับแลบ เพราะแดดแรงมาก จนทีแรกเลยคิดว่าพอจบ Steadlur แล้วจะหาที่หลบแดดซักหน่อย แต่เหลียวซ้ายแลขวา ปรากฎว่ามีแต่แผ่นดินโล่งๆไม่มีที่ให้หลบแดด เลยกัดฟันป้วนเปี้ยนแถวเวทีสองต่อ เพื่อรอดู In This Moment เมโลดิก เมทั่ลคอร์ ที่มีนักร้องนำหญิงเป็นตัวชูโรง
ทีนี้เองจะเห็นความแตกต่างแบบชัดเจนมาก ระหว่างวงที่มีประสบการณ์แล้วกับ Steadlur ที่เพิ่งตั้งไข่
ปกติไม่ใช่คนที่ชอบเมทั่ลคอร์อะไรมาก แต่ลีลาของน้อง Maria Brink ที่แต่งหน้าแต่งตาได้ขัดกับแนวเพลงมาก (ดูเอาจากรูป) รวมถึงเสียงร้องและการเล่นกับคนดูนั้น ดึงดูดให้สนุกไปด้วยได้ตลอด
ยิ่งตอนหยิบ Call Me ของ Blondie ขึ้นมาคัฟเวอร์ด้วย ต่อให้ไม่ใช่แฟนเพลงของ ITM ก็เลยพลอยสนุกไปด้วยได้ รวมๆแล้วสอบผ่านเลย

Maria Brink ของ In this Moment กระแดะนิดๆแต่สำรากได้ใจมาก
ยืนให้แดดเผาอยู่เป็นชั่วโมง ชักทนไม่ไหว ก็เลยเดินป้วนเปี้ยนหาที่ร่มดูบ้าง ก่อนจะไปเจอะกับเวทีสามหรือ Tuborg Stage ที่ Bleed from Within กำลังโขยกอยู่พอดี เลยเปลี่ยนอารมณ์เล็กน้อยจากเมทั่ลคอร์มาเป็นเดธคอร์แทน
พอดีไม่ค่อยสันทัดแนวนี้เท่าไหร่ แต่ภาพรวมก็ใช้ได้เลย จะเสียตรงคนดูส่วนนึงตั้งใจเข้ามาหลบแดดในเต็นท์มากกว่าจะมาให้กำลังใจนักดนตรีเลยมีพวกที่เล่นมอชพิตอยู่หน้าเวทีแค่หยิบมือเท่านั้นเอง น่าเศร้าแทน

Bleed from Within เดธคอร์จากสกอตแลนด์ แต่นักร้องดูเหมือนพวกอีโมไปหน่อย
จบจาก Bleed from Within ก็หยิบโปรแกรมขึ้นมาเช็กดูว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง เห็นชื่อ Dir En Grey จะขึัน Second Stage ตอนบ่ายสี่โมง ก็เลยถือโอกาสเดินเล่นไปเรื่อย หาอะไรรองท้องไปพลางๆ โดยเฉพาะเบียร์ Tuborg ของเดนมาร์กที่เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ของงานนั้น รสชาติเด็ดได้ใจมาก รวมถึงไซเดอร์ (เบียร์ผลไม้) ยี่ห้อชวนสยิวอย่าง Gaymers ก็ชวนกระดกไม่แพ้กัน...
พอกดแอลกอฮอล์เข้าร่างได้ระดับนึง ก็แวะไปยืนดู Staind ที่เวทีใหญ่อยู่พักนึง บอกได้คำเดียวว่าคิดจะฝ่าไปอยู่แถวหน้าให้ฝันไปเถอะ คนหยั่งก๊ะหนอน ว่าแล้วก็รอจนถึงบ่ายสามโมงเศษๆก็ไปยืนดู Parkway Drive เมทั่ลคอร์ (อีกแล้ว) จากออสเตรเลีย
วงนี้มาในรูปเสื้อยืดกางเกงขาสั้นกันทั้งวง เพลงมันในระดับหนึ่ง เรื่องการเอนเตอร์เทนก็ไม่เลว ดูแล้วมีแฟนประจำมารอดูกันพอสมควร

Parkway Drive เมทั่ลคอร์ขาสั้นจากออสเตรเลีย
พอ Parkway Drive เล่นจบ ฝรั่งหัวทองก็เดินออกจากหน้า Second Stage กันพรึ่บพรั่บ ปล่อยให้พวกหัวดำทั้งหลายมาออกันจนเต็มหน้าเวที ดูแล้วท่าทางงานนี้จะมีคนญี่ปุ่นมามิใช่น้อย เพื่อให้กำลังใจตัวแทนหนึ่งเดียวจากเอเชีย
เท่าที่เห็น ปัญหาของ Dir En Grey ถ้าคิดจะตีตลาดโลก ก็คือเรื่องภาษานี่แหละ เพราะเนื้อเพลงยังเป็นญี่ปุ่นล้วนๆ
ถึงบางคนจะบอกว่าดนตรีเป็นภาษาสากล แต่เพลงร็อคหรือเมทั่ลที่มันมีเรื่องของเนื้อร้องด้วย จะเล่นมันแค่ไหน ดนตรีดีแค่ไหน แต่ถ้าคนดูฟังไม่รู้เรื่อง ไอ้จะบิลด์อารมณ์ตามก็ยากจริงๆ ยังไม่นับเรื่องอคติที่คงพอมีอยู่บ้าง สังเกตได้จากฝรั่งบางส่วนที่ลองของแปลก ได้แต่ยืนดูนิ่งๆ ไม่งั้นก็ฉีกไปเฮกับ Killswith Engage ที่เวทีใหญ่กันหมด

Dir En Grey เรียกความสนใจได้น้อยไปหน่อย เพราะเรื่องภาษา
ดู Dir En Grey จบ เวลายังเหลื่อมๆกับ Killswitch Engage อยู่หน่อย เลยวิ่งไปดูที่ Main Stage พอให้หายอยาก แต่พอจะเลี้ยววกกลับมาดู Bring Me The Horizon ที่เวทีสอง ปรากฎว่าสายไปแล้ว คนแน่นเอี้ยดมากๆ ส่วนหนึี่งอาจจะเพราะเป็นวงเจ้าถิ่นด้วย ภาพที่ออกมาเลยเหมือนแอบถ่ายมากกว่า แบบที่เห็นข้างล่างเนี่ย

Bring Me The Horizon เมทั่ลคอร์/เดธคอร์ขวัญใจวัยรุ่นอังกฤษเท่าที่เห็น ปัญหาของ Dir En Grey ถ้าคิดจะตีตลาดโลก ก็คือเรื่องภาษานี่แหละ เพราะเนื้อเพลงยังเป็นญี่ปุ่นล้วนๆ
ถึงบางคนจะบอกว่าดนตรีเป็นภาษาสากล แต่เพลงร็อคหรือเมทั่ลที่มันมีเรื่องของเนื้อร้องด้วย จะเล่นมันแค่ไหน ดนตรีดีแค่ไหน แต่ถ้าคนดูฟังไม่รู้เรื่อง ไอ้จะบิลด์อารมณ์ตามก็ยากจริงๆ ยังไม่นับเรื่องอคติที่คงพอมีอยู่บ้าง สังเกตได้จากฝรั่งบางส่วนที่ลองของแปลก ได้แต่ยืนดูนิ่งๆ ไม่งั้นก็ฉีกไปเฮกับ Killswith Engage ที่เวทีใหญ่กันหมด

Dir En Grey เรียกความสนใจได้น้อยไปหน่อย เพราะเรื่องภาษา
ดู Dir En Grey จบ เวลายังเหลื่อมๆกับ Killswitch Engage อยู่หน่อย เลยวิ่งไปดูที่ Main Stage พอให้หายอยาก แต่พอจะเลี้ยววกกลับมาดู Bring Me The Horizon ที่เวทีสอง ปรากฎว่าสายไปแล้ว คนแน่นเอี้ยดมากๆ ส่วนหนึี่งอาจจะเพราะเป็นวงเจ้าถิ่นด้วย ภาพที่ออกมาเลยเหมือนแอบถ่ายมากกว่า แบบที่เห็นข้างล่างเนี่ย

ไปๆมาๆ วันแรกนี่ได้แต่ดูเวทีสองตลอด เพราะจบจาก Bring Me the Horizon ก็ถึงคราวของ Lacuna Coil
พูดถึงงานชุดใหม่ Shallow Life แฟนเพลงรุ่นเก่าก่อนอาจจะเซ็งนิดหน่อย เพราะฟังแล้วไม่ค่อยให้รู้สึกว่าเป็น Gothic ซักเท่าไหร่ มันออกไปทาง Linkin Park แบบที่ไม่มีเสียงแร็ปซะมากกว่า นอกจากตัวเพลง เลยไปถึงอาร์ทเวิร์คในปกอัลบั้ม ก็พอบอกอะไรได้หลายอย่างแล้ว
ถึงแนวหลักของวงจะเปลี่ยนไปเยอะ แต่แฟนๆที่นี่ก็ยังให้การต้อนรับค่อนข้างดี ร้องตามได้ตลอด ทั้งที่เพลงส่วนใหญ่จะยกมาจาก Shallow Life เกือบหมด มีแทรกด้วยเพลงเก่าแค่ประปราย โดยเฉพาะตอน Heaven's a Lie ขึ้นมานี่ คนยิ่งเฮกันยกใหญ่

Lacuna Coil ยุคใหม่ยังเรียกคะแนนนิยมจากแฟนเพลงได้เนื้อๆเน้นๆเหมือนเดิม
ถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มแล้ว ฟ้ายังสว่างอยู่ก็จริง (ที่อังกฤษนี่ช่วงซัมเมอร์ สามทุ่มนี่เหมือนหกโมงเย็นยังไงยังงั้น) แต่ในร่างกายมันเรียกร้องแล้วว่าหิว เลยต้องเดินไปหาอะไรรองท้องก่อน ระหว่างที่ซัดข้าวกับเทมปุระผักจากร้านจีน (แต่คนขายเป็นคนไทย) ก็นั่งดู Opeth วงรองของ Second Stage ไปพลางๆ
สงสัยปฏิกิริยาตอบรับจากคนดูด้านล่างจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ Mikael Akerfeldt มือกีตาร์/นักร้องนำของวงเลยพูดแบบกึ่งๆประชดว่าทนหน่อย เดี๋ยวเล่นเสร็จตามคิวจะรีบเปิดทางให้ Motley Crue ขึ้นมาทันที แต่ยังไม่วายหยอดว่าอย่าลืมนะ พวกเราคือ Whitesnake (555+)
นึกแล้วก็น่าเห็นใจแทนเหมือนกัน เพราะโดนจับมาคั่นไว้กับวงที่เล่นกันคนละแนวเลย แล้วคนดูส่วนนึงก็คงมายืนรอแต่เนิ่นๆเพื่อจะจองที่ได้สะดวก เลยไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับโปรเกรสซีฟหลุดโลกของ Opeth ซักเท่าไหร่
และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง พอ Opeth ลงจากเวทีปุ๊บก็รีบลุกพรวดไปเบียดเสียดกับคนที่ด้านหน้าทันที แต่ก็แค่นั้นละครับ เพราะสุดท้ายก็ไปได้แค่ตรงปริ่มๆทางฝั่งซ้าย เข้าไปไม่ถึงตรงกลาง แถมยังห่างจากเวทีเกือบๆสิบเมตรเห็นจะได้ กำลังซูมของกล้องก็เลยทำได้เท่าที่เห็น
สองทุ่มครึ่งปุ๊บ (ฟ้ายังสว่างอยู่) Motley Crue ก็ขึ้นเวทีทันทีไม่มีให้แฟนรอนาน ด้วยเพลงที่น่าจะเหมาะที่สุดกับการเริ่มต้น Kickstart My Heart แล้วก็รัวเพลงฮิตระดับคลาสสิคตามมาเป็นชุด อย่าง Shout At the Devil, Live Wire สลับกับเพลงจากชุดใหม่อย่าง Saints of Los Angeles กับ Motherfucker of The Year
จอขนาดยักษ์ทั้งสองด้าน ก็จะตัดสลับเปลี่ยนไปมาเรื่อยๆ พอจ้องไปเรื่อยๆ จะเห็นฉากจากหนังเอ็กซ์ตัดแทรกเข้ามาเป็นระยะอีกต่างหาก (แหม ชอบๆ)
ไม่ใช่แค่บนจออย่างเดียว หันไปมองด้านข้าง อาเจ๊คนนึงกลัวจะไม่สมกับเป็นคอนเสิร์ตร็อค เลยขึ้นไปขี่คอแฟนแล้วก็ถลกเสื้อโชว์ทุกครั้งที่ Vince Neil หรือ Nikki Sixx เดินแวะมาทางฝั่งซ้ายของเวที ถ้าจะมีเรื่องให้ติหน่อยนึง ก็คือท่าทางจะผ่านการใช้งานมาเยอะไปหน่อยนะ เจ๊นะ
รวมๆแล้ว Motley Crue ก็เล่นไปสิบกว่าเพลง กินเวลาราวๆสองชั่วโมงเห็นจะได้ ก่อนปิดฉากด้วย Home Sweet Home ตามด้วยการร่ำลากับคนดูอีกพักใหญ่ โดยเฉพาะ Tommy Lee ที่พูดไม่หยุดตั้งแต่ลุกขึ้นมาจากชุดกลองหลังจบเพลง ก่อนจะเรียกเสียงเฮด้วยการประกาศว่าปีหน้าจะกลับมาอีกครั้ง

Motley Crue เฮดไลเนอร์ของ Second Stage วันแรก
จริงๆจบจาก Motley Crue ก็ยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับ Faith No More วงเฮดไลน์ตัวจริงของคืนวันศุกร์
แต่ตอนนั้นบอกตามตรงว่าหมดสภาพแล้ว เลยได้แค่ยืนดูจากระยะห่างเป็นโยชน์อยู่เกือบสิบนาทีแล้วก็ถือโอกาสชิ่งไปนอนด้วยความอิ่มใจ + โทรมกาย เป็นอันจบวันแรกของ Download Festival 2009 โดยหารู้ไม่ว่าการยืนตากแดดท้ังวัน โดยไม่ทาครีมกันแดด (ทั้งๆที่ซื้อมา) จะส่งผลเสียหายใหญ่หลวงในภายหลัง...
Motley Crue Setlist (เครดิตจาก setlist.fm)
Kickstart My Heart
Wild Side
Shout At The Devil
Saints Of Los Angeles
Live Wire
Too Fast For Love / On With The Show
Motherfucker Of The Year
S.O.S.
Primal Scream
Looks That Kill
Girls, Girls, Girls
Dr. Feelgood
- Encore -
Home Sweet Home