O2 Academy Brixton, London
Sunday 17 May, 2009

ยิ่งกรายใกล้ฤดูร้อนเท่าไหร่ ใจก็ยิ่งเต้นระทึกเท่านั้น เพราะมิถุนายนนี้แล้วที่จะได้สะพายเป้ไปลุย Download Festival (downloadfestival.co.uk)
ไม่ใช่แค่นั้น เพราะช่วงรอยต่อระหว่างใบไม้ผลิจนถึงฤดูร้อนนี่แหละ คือช่วงเวลากอบโกยของบรรดานักร้องนักดนตรีของจริง ชนิดที่ว่าสถานที่จัดคอนเสิร์ตทั้งเล็กใหญ่ เรื่อยไปจนถึงเทศกาลทั้งหลายนั้นเข้าข่ายหัวกระไดไม่แห้งแน่นอน
ส่วนพวก "เสี้ยน" หาเรื่องแบบคนเขียน ก็ได้แต่รำพึงในใจ "ไม่มีอะไรจะรับทานแล้ว (โว้ย)"
แต่ก็อีกนั่นละ นี่คือความสุขเล็กๆที่หาได้ยากเต็มที ฉะนั้น ก่อนซมซานกลับเมืองไทย ยังไงต้องกอบโกยกำไรชีวิตให้เต็มที่
นี่ขนาดไม่มีแม็กกาซีนให้เขียนลง ก็ยังอุตส่าห์ดิ้นรนไปดูเพื่อ เขียนเอง อ่านเอง จนได้ แบบนี้แล "เสี้ยน" ของจริง
แล้วความ "เสี้ยน" ที่ว่าก็พาให้เสียเงินอีกจนได้...
พูดถึง The Black Crowes นี่ออกตัวก่อนว่าไม่ถึงกับเป็นวงที่คลั่งไคล้เท่าไหร่ คือจะมาเริ่มฟังเอาก็ตอนที่หมดสิ้นความดังในกระแสไปเรียบร้อย แต่พอยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความขลัง
เล่นดนตรีแบบที่ตัวเองอยาก ไม่ต้องพยายามทำตัวเหนือล้ำหัวก้าวหน้า ไม่ต้องง้อสังกัดใหญ่ แต่ก็ยังมีแฟนเพลงคอยติดตามเหนียวแน่น
ตรงนี้ก็ต้องบอกว่าตัวเองโชคดีเหมือนกัน อาจจะดีกว่าฝรั่งหลายคนที่ตัดสินใจช้าด้วยซ้ำ เพราะนี่คือโชว์เดียวในยูเคของพลพรรคอีกาดำ แถมไม่ได้เลือกเล่นในสถานที่ใหญ่โตอะไร ตั๋วจึงโซลด์เอาต์โดยปริยาย
ไอ้พวกที่หวังมาตายเอาดาบหน้า หาตรงสถานที่แสดงเลยได้ตายสมใจอยาก
ถึงจะไม่ใช่เวทีระดับบิ๊ก แต่ Brixton Academy ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่จัดคอนเสิร์ตระดับ "เก๋า" อีกแห่งของลอนดอน ไม่น้อยหน้า Astoria (โดนทุบไปสร้างสถานีอันเดอร์กราวนด์แล้ว) หรือ Hammersmith Apollo แถมยังจุคนได้มากที่สุดแล้ว ในบรรดาสถานที่จัดระดับ non-arena ด้วยกัน

เปิดไฟแบบนี้ก็ดูสวยดี แต่ลองไปดูตอนกลางวัน คร่ำคร่าหาความงามไม่ได้เลย
พูดถึงที่ตั้งของทีนี่ หลายคนก็เตือนไว้ล่วงหน้าว่าระวังตัวไว้บ้าง เพราะเป็นแหล่งชุมนุมของคนผิวสีประเภทไม่ค่อยมีอันจะกินอยู่ซักหน่อย
ฉะนั้น ให้พึงเอาของมีค่าติดตัวไปน้อยที่สุด เผื่อว่าเวลาเกิดเจอปล้น มันจะได้เอาไปแต่ชีวิตเรา ไม่มีทรัพย์สินติดมือไปด้วย!?!
จากประสบการณ์เกือบปีที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่าฝรั่งมันไม่ค่อยรอให้ใกล้เวลาแล้วค่อยเข้าเหมือนพี่ไทยเรา คือถือคติใครเร็วกว่า อดทนกว่า ก็ได้ลุ้นใกล้ชิดติดเวทีมากกว่า คราวนี้ก็เลยบึ่งไปถึงสถานที่ก่อนเวลาเปิดประตูตอนทุ่มนึงราวครึ่งชั่วโมง
ปรากฎว่ายังช้าเกินไป เพราะมีคนมาต่อคิวรออยู่ด้านหน้า คะเนคร่าวๆก็หลายร้อยอยู่ เพราะต้องวกจากด้านหน้าอ้อมตัวตึกไปถึงฟากด้านหลังโน่นถึงเจอหางแถว

ภายในฮอลล์ของที่นี่จะคล้ายๆกันหมด คือมีแบ่งชั้นบนล่าง เพราะดัดแปลงจากโรงละครเก่า
แต่พอหลุดเข้าไปได้แล้ว ก็ยังเฮงอยู่ดี เพราะพี่ฝรั่งเข้าไปได้แล้วดันมัวแต่ไปยืนซื้อเบียร์กระดกกันอยู่ พี่ไทยหัวเดียวกระเทียมลีบเลยเล็ดรอดไปได้ถึงแถวสองหน้าเวที ก็ถือว่าใกล้มากแล้วสำหรับการใช้น้องน้อย D-Lux3 เก็บภาพมาให้ดูกัน
ก็เป็นธรรมดาสำหรับคอนเสิร์ตที่นี่ ที่ต้องเลทจากเวลาเปิดประตูเสมอ ยิ่งคราวนี้ The Black Crowes ไม่ใช้บริการวงเปิดด้วย นับจากเวลาที่เข้าไปรอตอนทุ่มนิดๆ จนถึงตอนไปจองที่หน้าเวทีก็ปาเข้าไปชั่วโมงครึ่งเห็นจะได้

ก่อนคอนเสิร์ตเริ่มประมาณครึ่งชั่วโมง สตาฟฟ์บนเวทีเอาแอปเปิ้ลจุดธูปมาเซ่นเจ้าที่ด้วย
ยืนกันจนขาแข็งได้ที่แล้ว ไฟในฮอลล์ก็ดับลงเป็นสัญญาณบอกว่า สองพี่น้อง Chris กับ Rich Robinson รวมถึงสมาชิกอีกสี่ Steve Gorman (กลอง) Adam Mcdougall (คีย์บอร์ด) Sven Pipien (เบส) และ Luther Dickinson (ลีดกีตาร์) รวมถึงสองสาวนักร้องแบ็กอัพก็ทยอยขึ้นเวที
ด้วยความเป็นวงที่ไม่มีเซตลิสต์แน่นอน งานนี้เลยต้องบอกว่าเฮงพอสมควรที่ The Black Crowes เลือกหยิบเพลงจากชุดแรก Shake Your Money Maker ขึ้นมาเล่นเป็นหลัก (แต่จริงๆ อยากให้เน้น The Southern Harmony and Musical Companion มากกว่านะ)
เท่าที่นับดูก็ยกกันมาเกือบทั้งอัลบั้มเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะเวลาเล่นเพลงเด่นๆอย่าง She Talks to Angels, Hard to Handle และ Twice as Hard นั้น ฮอลล์แทบจะถล่มกันเลย
เฉพาะอย่างยิ่งสาวข้างๆที่แอบฟังเจ้าตัวพูดกับแฟนหนุ่ม เดาเอาว่าคงเป็นพวกนักศึกษาจากอิตาลีอะไรประมาณนั้น น่าจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ของวงเลยก็ว่าได้ คือเวลาเจอเพลงถูกใจ ก็จะออกอาการหันมายิ้มแบบมีฟามสุขมาก

ลีลาของสองพี่น้อง Robinson บนเวที Chris (ที่ 2 จากซ้าย) ส่วน Rich (ขวา) ก็ยืนเล่นกีตาร์หน้าไม่บอกอารมณ์ทั้งงาน
ไม่ใช่อะไรหรอก อิจฉาไอ้ผู้ชายที่มาด้วยน่ะ คือเวลาคุยกับเพื่อนคนไทยด้วยกัน ถ้าทะลึ่งพูดชื่อ The Black Crowes ขึ้นมา จะมีใครสนใจหรือคุยรู้เรื่องรึเปล่าก็ไม่รู้
อย่าว่าแต่สาวๆ เพื่อนผู้ชายด้วยกันนี่ยังไม่ค่อยจะฟังเล้ย (T^T)
ชอตที่ถือเป็นไฮไลท์ (อันนี้ส่วนตัวนิดนึง) คงเป็นช่วงเพลงโปรด Thorn in My Pride ที่เรียบเรียงให้ฟังดูดิบๆกว่าในอัลบั้ม แถมระหว่างกลางเพลงยังเปิดช่องให้ Gorman ได้โชว์การโซโล่กลองแบบเต็มเหนี่ยวเป็นสิบนาทีได้มั้ง ก่อนที่สมาชิกคนอื่นจะกลับมาเล่นกันต่อจนจบ

Gorman กับช่วงโซโล่กลองกลางเพลง Thorn in My Pride
นอกจากเพลงที่ว่า ก็รู้สึกจะมีแทรกเพลงจากอัลบั้ม Warpaint (ออกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ฟังเลยบอกไม่ถูกว่าเพลงอะไร) กับเพลงใหม่ที่กลิ่นตุๆไม่เข้าพวกเข้าเหล่าเท่าไหร่ เพราะไลน์เบสนี่แทบจะเป็นดิสโก้อยู่แล้ว
และก็เป็นธรรมเนียมที่พอถึงแก่เวลาอันควร ก็ต้องกลับเข้าหลังเวทีให้แฟนอังกอร์ แต่ The Black Crowes นั้นไม่ค่อยเล่นตัวเท่าไหร่ เข้าหลังเวทีไปแปบๆก็กลับมาอังกอร์แบบไม่ต้องเรียกให้เหนื่อย ก่อนจะปิดคอนเสิร์ตของจริงด้วย Thick n' Thin ทำเอาหลายคนที่เรียกร้องอยากฟัง Remedy ต้องแห้วกันถ้วนหน้า (คนเขียนก็จัดอยู่ในหมวดนี้)

ตั๋วคอนเสิร์ตที่รวมค่าหัวคิวแล้วจ่ายไปเฉียดสี่สิบปอนด์แค่ไม่กี่เพนซ์ (ไม่นับค่าเบียร์ที่เต็มใจเสีย)
ถามว่าอิ่มมั้ยกับสองชั่วโมงเศษๆในคราวนี้ ก็ต้องบอกว่ายังไม่ค่อยเต็มร้อย เพราะไม่มีโอกาสได้ฟังเพลงที่อยากฟังสดๆอย่าง Sting Me หรือ Remedy
แต่คิดในแง่ดีก็คืออย่างน้อย ชีวิตนี้ก็ถือว่าได้ดู The Black Crowes แล้ว และคงยากที่จะมีโอกาสดีๆแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำสองอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น