วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

U2 ระยะร้อยเมตร



U2
360 Tour

@ Wembley Stadium, London
August 14, 2009

จริงๆก็เคยมีประสบการณ์ตรงมาแล้วจากงาน Jeff Beck และ B.B. King (ไม่เคยเขียนถึง) ว่าคอนเสิร์ตประเภทที่ต้องบุ๊คที่นั่งเนี่ย ถ้าอยากดูแบบใกล้ชิด ก็ต้องจองก่อน และจ่ายแพงกว่าเสมอ

แต่ด้วยสภาพคล่องทางการเงิน (ใช้ศัพท์สูงเชียว) ในวินาทีที่กำลังจะคลิก ok ตอนจองบัตร U2 ที่ เวมบลีย์ มันอยู่ในช่วงติดขัด คล้ายจะเป็นนิ่ว (คือใกล้หมดตัวนั่นแหละ) ก็เลยกลั้นใจเลือกบัตรราคาถูกที่สุด โดยหารู้ไม่ว่าพอเข้าไปในสนามแล้วจะได้เห็น Bono, The Edge, Adam Clayton และ Larry Mullen Jr. ในฉบับย่อส่วนขนาดนี้



ดูซะ นี่ 30 ปอนด์ ถูกสุดแล้วนะสำหรับ เวมบลีย์ สเตเดี้ยม

สำหรับโชว์ในวันศุกร์-เสาร์ที่ 14-15 สิงหา นี่ก็ถือเป็นการออกสตาร์ท 360 Tour (ไอ้สัญลักษณ์ใช้แทนองศา มันอยู่ตรงไหนของคีย์บอร์ดวะ) ในสหราชอาณาจักรของ U2 หลังจากไล่เก็บตามสนามกีฬาใหญ่ๆในยุโรปมาเกือบครบแล้ว

ความพิเศษของโชว์นี้ คือเค้าว่ากันว่าจะเป็นคอนเสิร์ตทำลายสถิติจำนวนผู้ชมใน เวมบลีย์ สเตเดี้ยม ที่ของเดิมทำไว้ 83,000 คน โดย Foo Fighters ด้วย The Claw เวทีรูปแบบใหม่ที่จะทำให้ภายในสนามมีพื้นที่สำหรับจุผู้ชมได้เพิ่มขึ้นอีกห้าพันคน (ดูรูปเพิ่มเติมจาก http://monoeye.multiply.com/photos/album/10/The_Claw)



ทั้งฝรั่งทั้งกะเหรี่ยงไทยแห่กันมาดู U2 ที่ เวมบลีย์ วันละเกือบเก้าหมื่นคน

ไอ้ทีแรกก็ไม่รู้หรอกว่า 30 ปอนด์ ที่จ่ายไปเนี่ย จะอยู่ห่างจากเวทีขนาดไหน คือพอเดินเข้าไปแล้วถึงได้รู้คือต้องเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ เทียบแล้วก็น่าจะเกินห้าชั้น

พอหาเก้าอี้เจอเท่านั้น แม่เจ้า! 30 ปอนด์ ของหนู อยู่ห่างจากเวทีน่าจะเกินร้อยเมตรอย่างที่ตั้งชื่อไว้ด้วยซ้ำ คือมองลงไปนี่ถ้าแยกแยะออกได้ว่าไผเป็นไผบนเวที คงต้องถามว่ากินวิตามินอะไรลงไปบ้าง ถึงได้มีนัยน์ตาอย่างเหยี่ยว

สรุปคือก็เลยเหมือนเข้าไปนั่งกินบรรยากาศในเวมบลีย์ซะมากกว่า จะเห็นหน้าค่าตาของนักดนตรีบนเวที ก็ต้องอาศัยภาพจากจอทั้งสี่ด้านที่ติดไว้บน The Claw แทน


วงเปิดวงแรกเป็นลูกเต้าเหล่าใครมาจากไหนไม่รู้จริงๆ


ถัดมาเป็น Elbow ซึ่งก็ไม่ใช่แนวที่ชอบอีก แต่พอฟังได้

ตั้งแต่เปิดประตูตอนบ่ายสี่โมง กว่าที่พระคุณท่านทั้งสี่จะขึ้นเวทีได้ก็ล่อไปโน่นครับ สองทุ่มครึ่ง ยิ่งช่วงนี้ใกล้จะหมดซัมเมอร์ ตอน U2 เริ่มแสดง แดดเดิดก็หายหมดแล้ว (ช่วงหน้าร้อนเปรี้ยงๆที่อังกฤษนี่ อาทิตย์ตกตอนสามทุ่มกว่าโน่น)

เดาเอาว่าเหตุผลที่ต้องรอให้มืดค่ำก่อนถึงจะเริ่มโชว์ เพราะอาวุธไม่ลับของคอนเสิร์ตอย่าง The Claw นั้นมีไว้โชว์แสงสีตระการตาควบคู่ไปกับการแสดงบนเวที


นี่ซูมจนนอยส์กระจุยกระจาย ยังเห็น U2 แค่นี้


ตัวอย่างเบาะๆของแสงสีจาก The Claw

สารภาพบาปก่อนว่ายังไม่ได้ซื้อ No Line on Horizon มาฟัง (ไม่โหลดด้วย ใจแข็ง) ฉะนั้น ก็เลยแทบไม่รู้จักเพลงจากอัลบั้มล่าสุดเลย แต่สังเกตเอาจากปฏิกิริยาคนรอบข้างแล้ว ตอนเล่นเพลงจากชุดใหม่ คนก็ไม่ค่อยอินเหมือนกัน

คือก็เหมือนเป็นเรื่องปกติของวงดังๆ คือเวลาอินโทรของเพลงฮิตดังขึ้นมา คนดูก็เฮ ก็บิลด์อารมณ์ตามได้ทันควัน แถม U2 นั้นมีเพลงระดับฮิตค่อนข้างเยอะ ด้วยความที่ต้องยัดทั้งหมดลงภายในเวลาสองชั่วโมง หลายๆเพลงก็เลยต้องเล่นกันแบบควบบ้าง แทรกเพลงนี้ลงไปตรงท่อนกลางของเพลงโน้นบ้าง

นั่งดูไปซักพักก็เลยรู้สึกเหมือนเปลี่ยนบรรยากาศมาฟังเพลงของ U2 นอกสถานที่ยังไงชอบกล คือมันก็สนุกดีอยู่หรอกนะ แต่ด้วยความที่มันไกลจากเวทีมากไปหน่อย เลยรู้สึกว่ามันมีช่องว่างอยู่ ดูไปดูมาก็เลยเปลี่ยนไปสนุกกับการถ่ายรูป The Claw ที่เปลี่ยนสีไปมาตลอดเวลาแทน


นึกว่า War of The World ซะอีก

กว่าที่สมาธิกับเพลงจะกลับมา ก็โน่นปาเข้าไปช่วงท้ายแล้วตอนที่ Bono เอ่ยถึง Aung San Suu Kyi ขึ้นมา พอถึงตอนนี้ทุกคนคงรู้กันถ้วนหน้าว่ากำลังจะเล่น Walk On และระหว่างเพลงก็จะมีคน (น่าจะเป็นสตาฟฟ์ของวงนั่นแหละ) เดินสวมหน้ากาก Suu Kyi ขึ้นมายืนเต็มเวทีไปหมด

พอคลิกเข้าไปดูในเว็บของ U2 ก็จะมีหน้ากากแบบเดียวกันนี้ให้โหลดด้วย (http://www.u2.com/stream/article/display/id/4770) ถ่ายเสร็จแล้วก็ส่งไปตามอีเมลในเว็บไซต์นะ ไม่มีรางวัลให้ แต่เขาจะเอาไปโพสต์ในหน้า gallery ไว้โชว์ชาวบ้านได้

จริงๆเพลงนี้เป็นเพลงโปรดเลยนะ แต่ฝรั่งข้างๆที่ตอนแรกก็เป็นมิตรดี ไม่รู้มันเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า พอถึงเพลงนี้ กับช่วงที่ Bono พูดถึง Suu Kyi แม่มดันบ่นฉอดๆถึงผู้ก่อการร้ายอะไรขึ้นมาไปเรื่อย (เขาสู้กับรัฐบาลทหารไม่ใช่เหรอวะ) เลยเสียอารมณ์ไปนิดนึง


จบแล้ว...

ทีแรกหลังจากจบ One นึกว่าคุณพี่แกจะไม่อังกอร์ให้ซะแล้ว เพราะเวลาก็ใกล้จะถึงเคอร์ฟิวที่กำหนดไว้คือ 22.30 เข้าไปทุกที แต่ U2 ก็ยังกลับขึ้นมาเล่นอีกสามเพลงสั้นๆเป็นการส่งท้าย แต่ก็ยังอุตส่าห์ยังให้จบได้ตามกำหนดพอดี

เหตุผลที่ต้องเลิกเร็วกว่าปกติประมาณครึ่งชั่วโมง คือการระบายคนเกือบแตะหลักแสนมันใช้เวลาพอสมควร ก็ดูเอาเถอะ นี่ขนาดจบตั้งแต่สี่ทุ่มครึ่ง คืนนั้นกว่าจะกลับถึงบ้านก็ล่อไปตีหนึ่งโน่น ทรมานสังขารจริงๆ...

Set List
1. Breathe

2. No Line On The Horizon

3. Get On Your Boots

4. Magnificent

5. Beautiful Day/Oh Sweet Freedom

6. Mysterious Ways/Don't Stop 'Til You Get Enough

7. I Still Haven't Found What I'm Looking For/Stand By Me

8. Stuck In A Moment

9. Unknown Caller

10. The Unforgettable Fire

11. City of Blinding Lights

12. Vertigo/She Loves You
13. Crazy Tonight/Two Tribes

14. Sunday Bloody Sunday

15. Pride (In The Name of Love)

16. MLK

17. Walk on/You'll Never Walk Alone

18. Where The Streets Have No Name/All You Need is Love
19. One
Encore
20. Ultra Violet (Light My Way)
21. With of Without You/Shine Like Stars

22. Moment of Surrender

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

And yes I'm all lit up again!!!



Buckcherry
@ HMV Forum, London
July 30, 2009

ซัมเมอร์สยองเพราะการตระเวนดูคอนเสิร์ตใกล้จะหมดลงแล้ว ถึงเงินในกระเป๋าจะพร่องไปเยอะ แต่หูมันยังหาเรื่องอยู่

ยิ่งคราวนี้เป็นวงโปรด แถมเป็นเฮดไลเนอร์ แทนที่จะเป็นแค่ตัวประกอบแบบที่ Donington ด้วย แบบนี้จะปล่อยให้ผ่านไปก็เสียดาย

การ มาเยือนลอนดอนสำหรับ Buckcherry หนนี้ จริงๆ ก็คงคล้ายกับเทศกาลดนตรีนั่นแหละ เพียงแต่คนดูอย่างเราๆไม่ต้องหอบเสื่อผืนหมอนใบไปนอนตากลมตากฝนเท่านั้น เพราะเขาย้ายมาจัดในเมืองกรุง มีที่หมายอยู่ที่ HMV Forum แถบ Camden (น่ากลัวมาก...ขอบอก)

โปรแกรมที่วางไว้ก็คือจัดกันห้าวันรวด ตั้งแต่ 28 ก.ค. ไปจบเอา 1 ส.ค. แต่ละวันก็จะขายบัตรแยกกันวันต่อวันในราคา 20 ปอนด์ ยกเว้นวันสุดท้ายที่มี Limp Bizkit เป็นเฮดไลน์ รู้สึกจะอัพราคาขึ้นมาอีกสิบปอนด์มั้ง ถ้าหน้ามืดไปดูทุกวัน ก็เป็นร้อยละท่าน

สำหรับวงที่ขึ้นเล่นในแต่ละวันก็ไม่ซ้ำกัน ไล่จาก You Me At Six ในวันแรก Dragonforce (อันนี้เห็นเขาว่า cancelled นะ) Buckcherry, Lacuna Coil และก็ Limp Bizkit


บัตรราคา 20 ปอนด์เท่านั้น ถูกมากสำหรับที่นี่ แต่ห้ามคูณเป็นเงินบาทเดี๋ยวใจจะแป้วเปล่าๆ

สำหรับวงเปิดของงาน คราวนี้มีสองวงด้วยกัน คือ Dear Superstar กับ 69 Eyes

วงแรกนี่ค่อนข้างจะหน้าใหม่ แนวดนตรีก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับเฮดไลเนอร์ คือออกไปทางสลีซ ร็อค/แกลม เมทั่ล แต่เรื่องความเข้มข้นแล้วยังห่างชั้นกันพอสมควร

ยิ่งเสียงร้องของ Micky นักร้องนำนี่ฟังแล้วรู้สึกมันธรรมดาไปหน่อย คือตอนฟังจาก myspace แล้วก็พอใช้ได้ แต่พอเล่นสดแล้ว เข็นไม่ค่อยขึั้นเท่าไหร่

จริงๆก็แล้วแต่คนชอบล่ะนะ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าแนวนี้ (พวก สลีซ/แกลม) ถ้าดนตรีเล่นกันสะอาดๆ หรือเสียงร้องฟังไม่ค่อยเป็นคนเลวแล้ว มันไม่ได้อารมณ์ร่วมง่ะ


Dear Superstar ฟังแล้วยังไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่

ส่วน 69 Eyes นี่ไม่ใช่หน้าใหม่แล้ว เผลอๆอายุอานามน่าจะแซง Buckcherry ด้วยมั้ง เพียงแต่ดนตรีที่เล่นค่อนข้างจะ "แนว" อยู่ซักหน่อย เลยไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากนัก คือเป็น กอธิก นิดๆ ปนกับ ร็อคแอนด์โรลล์ หน่อยๆ ดูแล้วน่าจะรับอิทธิพลจาก Billy Idol กับ Sisters of Mercy มาพอสมควร


69 Eyes "Goth N' Roll" จากเฮลซิงกิ, ฟินแลนด์

รวมๆเวลาแล้ว 69 Eyes ก็เล่นนานพอสมควร เป็นชั่วโมงเห็นจะได้ ก่อนจะถึงคิวของ Buckcherry ที่วันนี้ดูจะเน้นเพลงจากอัลบั้มใหม่พอสมควร (ก็ควรอยู่นะ ออกมาตั้งปีแล้ว จะให้เล่นแต่เพลงจาก 15 เรอะ)

แต่ที่ชอบมากๆคือช่วงที่ย้อนกลับไปเล่นเพลงจากชุดแรกนั่นแหละ ทั้ง Lit Up, For The Movies, Lawless and Lulu คือถ้ามี Check Your Head ด้วย อาจจะอินยิ่งกว่านี้


อยู่มุมขวาของเวที จะถ่าย Keith Nelson ที่อยู่อีกฟากก็ไม่ชัดซักรูป

กับอีกชอตที่ชอบมาก และไม่คิดว่าจะได้ฟังเลย ก็คือ Highway Star เพลงคัฟเวอร์ของ Deep Purple ที่ทางวงเคยทำไว้สำหรับรวมอยู่ในอัลบั้มพิเศษ Nascar Official


พอปริมาณแอลกอฮอล์เริ่มเยอะ ภาพจากกล้องก็เบลอตาม

ดูจากปฏิกิริยาของคนดูส่วนใหญ่ ก็ค่อนข้างจะอิน(หรือรู้จักแค่)เพลงจากชุดแรกกับ 15 ซะมากกว่า เพราะเพลงเก่งจาก Timebomb อย่าง Ridin' หรือเพลงจากชุดใหม่ กลับเรียกเสียงเฮได้ไม่มากเท่าไหร่

แต่พออินโทรของ Crazy Bitch ที่หยิบขึ้นมาเล่นเป็นเพลงแรกในช่วงอังกอร์ดังขึ้นเท่านั้นแหละ สาวๆกรี๊ดกันลั่นเชียว จากนั้นก็ใส่กันต่อเนื่องกับสองเพลงสุดท้าย Onset กับ Fall เป็นอันจบคอนเสิร์ตอย่างเป็นทางการ พร้อมกับอาการมึนของคนเขียนที่รู้สึกจะสนุกกับคอนเสิร์ตปนเมามากไปหน่อย

ขนาดตั๋วที่เอามาลงเนี่ย ยังต้องยืมเพื่อนที่ไปด้วยมาถ่ายนะ ทำหายน่ะ ดีนะ กล้องยังอยู่ดี แฮะ แฮะ...


ตอนท้ายคอนเสิร์ต หนีคนอื่นมายืนอยู่ด้านหลังแว้ว

Setlist:
Tired Of You
Next 2 You
Broken Glass
Out Of Line
Lit-Up
Talk To Me
Rescue Me
For The Movies
Lawless & Lulu
Ridin'
Highway Star
Everything
Sorry
--
Crazy Bitch
--
Onset
Fall