วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552

ทัวร์เอมิเรตส์...



ตกลงนี่ไปอยู่อังกฤษหรือเอมิเรตส์กันแน่?


ตลกตายละครับ มุกนี้ แต่คนที่หายใจเข้าออกเป็นฟุตบอล หรืออย่างน้อยเคยสูดกลิ่นเกมลูกหนังกันมาบ้าง คงพอรู้กันว่า เอมิเรตส์ ที่ว่านี่หมายถึง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม สนามเหย้าแห่งปัจจุบันของ อาร์เซน่อล สโมสรในพรีเมียร์ลีกต่างหาก

เล่ากันแบบคร่าวๆพอหอมปากหอมคอ สนามแห่งนี้ต้องบอกว่าเป็นเมกกะโปรเจ็กต์จากวิสัยทัศน์ที่มองไกลถึงอนาคตของ อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีม รวมถึงบอร์ดบริหารอาร์เซน่อล ตั้งแต่ตอนปลายทศวรรษที่ 90 ว่าในอนาคตอันใกล้ พรีเมียร์ลีกจะกลายเป็นลีกยอดนิยมอันดับหนึ่งของโลก

เป็นวัฒนธรรมป็อปส่งออกจากเกาะอังกฤษที่ผู้คนทุกผู้ทุกวัยต้องกระโจนเข้าหาหากไม่ต้องการตกเทรนด์ ไม่ต่างอะไรกับฮอลลีวู้ดของอเมริกัน เคป็อปของเกาหลี หรืออีกสารพัดกระแส

ถ้าทุกอย่างเดินไปตามทางที่ เวนเกอร์ เห็นล่วงหน้า ความจุสามเฉียดสี่หมื่นของไฮบิวรี่ บ้านหลังเก่าที่ใช้มายาวนานถึงทำท่าจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ จากแผนเดิมที่เล็งเป้าไปยัง เวมบลีย์ ตามด้วยการสร้างสนามใหม่ แต่แชร์พื้นที่กับอริตลอดกาลอย่าง สเปอร์ส ไม่เป็นผล สุดท้ายเรื่องถึงมาลงเอยบนพื้นที่แถบที่เรียกกันว่า แอชเบอร์ตัน โกรฟ ห่างจากบ้านหลังเดิมแค่ห้าไมล์เศษ

เทียบกับเวมบลีย์ที่ผลาญทั้งเงินทั้งเวลาไปกว่าเจ็ดปี เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ใช้เวลาสร้างจริงอยู่ราวๆสองปีเศษ คือจากกุมภาพันธ์ 2004 ไปเปิดใช้จริงเมื่อตุลาคม 2006 กับความจุที่เพิ่มจากไฮบิวรี่เป็นหกหมื่นที่นั่ง

สร้างเสร็จเร็วแต่ไม่ลวก เพราะเห็นว่าทุกอย่างถูกกำกับอย่างละเอียดด้วยตัว เวนเกอร์ เอง คือไม่ใช่สักแต่สร้างๆให้มันงอกขึ้นมา ทุกอย่างมันมีการเตรียมพร้อมรองรับไว้หมด ทั้งการเดินทาง (รถไฟใต้ดินสายพิคคาดิลลี่ เลือกลงได้ทั้ง ฮอลโลเวย์ โรด หรือ อาร์เซน่อล) หรือสาธารณูปโภคอื่นๆ

ส่วนชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา ก็เพราะเงินตัวเดียวเท่านั้น เพราะระหว่างการระดมทุน ทางสโมสรไปทำข้อตกลงกับสายการบินเอมิเรตส์ให้ใช้ชื่อ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เป็นเวลา 15 ปี แลกกับเงินสปอนเซอร์ 100 ล้านปอนด์ สำหรับมาโปะค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างทั้งสิ้น 430 ล้านปอนด์ (เป็นบ้านเรา เซ็นแกร๊ก 100 ล้านอาจเหลือมาถึงสนามแค่ 10)

เล่าไปเล่ามาชักไม่หอมปากหอมคอ ยาวเหมือนกันแฮะ แต่ที่บอกว่าจะพาเที่ยวคราวนี้ เพราะบังเอิญ มีคนชักชวนไปทัวร์สเตเดี้ยมของสนามที่ทางสโมสรเปิดไว้ดูดเงินนักท่องเที่ยว เหมือนๆสโมสรอื่นๆอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล และอีกเพียบ

ใครสนใจ อยากบอกว่าทำเองก็ได้ง่ายจัง คือในหน้าเว็บไซต์ arsenal.com นั้นมีให้เข้าไปจองกำหนดการล่วงหน้าได้ตามต้องการ คือมีแบบทั้งเป็นทัวร์ปกติกับทัวร์ร่วมกับตำนานนักเตะ(ที่ยังไม่ตาย) แบบหลังจะแพงกว่านิดนึง ในเมื่อเราไม่ได้เป็นแฟนบอลอาร์เซน่อล ก็เลือกแบบปกติที่คิดหัวละ 12 ปอนด์

พอถึงวันเราก็เอา e-ticket ที่มีหมายเลขอ้างอิง (Ref.no.) จะเป็นพรินท์กระดาษไปเองหรือที่เป็นแมสเซจในโทรศัพท์มือถือก็ได้ ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตรงเคาน์เตอร์ก็จะได้สติ๊กเกอร์แทนตั๋วเข้าชมมาแปะที่หน้าอกแบบนี้


ข้อสังเกตอย่างนึงก็คือบริเวณหน้าเคาน์เตอร์ จะมีรูปปั้นของผู้จัดการทีมระดับตำนานของสโมสรตั้งอยู่ด้วย ตำแหน่งของ เวนเกอร์ ดูจะได้รับเกียรติยิ่งกว่า เฮอร์เบิร์ต แชปแมน ผู้จัดการทีมคนแรกที่พาสโมสรประสบความสำเร็จในช่วงก่อนสงครามโลกด้วยซ้ำ คือตั้งไว้ตรงกลางห้อง แถมจากมุมที่ถ่ายก็มีตราสโมสรเป็นแบ็คกราวนด์ให้ด้วย

จะว่าไปก็ไม่แปลก เพราะสนามแห่งนี้ก็เหมือนกับอีกหนึ่งผลิตผลจากมันสมองของ เวนเกอร์
รูปปั้นเวนเกอร์ตั้งอยู่กลางห้อง


รูปปั้นแชปแมนนั้นหลบมุมมาอยู่หลังเคาน์เตอร์รับตั๋ว

จัดการเรื่องตั๋วเสร็จสรรพก็ได้เวลาเข้าไปล้วงความลับในเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมกัน เริ่มจากวีไอพีบ็อกซ์ซึ่งเป็นที่นั่งสังสรรค์และชมเกมของบรรดาผู้บริหารสโมสร รวมถึงแขกคนสำคัญต่างๆ
จากประสบการณ์ตรงคือตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างเท้าเข้าไป จะเห็นว่าวัสดุต่างๆที่เลือกใช้ต้องบอกว่าเป็นของดีล้วนๆ คือเข้าไปแล้วมันให้ความรู้สึกว่าหรูจริง ไม่ใช่มองซ้ายเห็นปูนแตก มองขวาเห็นรอยน้ำฝนซึม กระทั่งไปเทียบกับสนามฟุตบอลอื่นๆในอังกฤษด้วยกัน ถ้าจะเป็นรองใคร คงมีแค่ เวมบลีย์ แห่งใหม่แค่แห่งเดียว (แต่อันนั้นทุนสร้างมากกว่าเกือบเท่าตัว)



ที่ที่น้องหัวหยิก (คนซ้าย) นั่งอยู่ คือเก้าอี้สำหรับแขกพิเศษอย่าง ฟาบิโอ คาเปลโล่ ในกรณีที่ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษมาสังเกตฟอร์มนักเตะในสนาม ส่วนไล่ลงไปถึงด้านล่างสุดของแถวเดียวกัน คือที่นั่งของ ปีเตอร์ ฮิลล์-วู้ด ประธานสโมสคนปัจจุบัน



เบอร์ 10 ขวาสุดนี่แหละคือที่นั่งที่จัดไว้ให้ คาเปลโล่ เบาะนุ่มหนาน่านอนมากถ้าวันนั้นบอลไม่สนุก


ตรงนี้ถ่ายจากเก้าอี้ตัวที่ ฮิลล์-วู้ด นั่งประจำ ทัศนวิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่


กวาดตาไปรอบๆจากบริเวณวีไอพีบ็อกซ์จะเห็นความโค้งเว้าแบบนี้

เสร็จสรรพจากการนั่งบนเก้าอี้คนรวยแล้ว ไกด์ของเราก็พาลงลิฟต์มาด้านล่างบริเวณที่นักเตะจะลงจากรถโค้ชเพื่อเดินเข้าสู่สนามก่อนเริ่มการแข่งขัน ตรงนี้ก็จะขุดลึกลงมาอยู่ใต้ดินซักหน่อย และพอเดินผ่านประตูกระจกก็จะเห็นป้ายข้อความปลุกใจข้างล่างนี้


ที่ใต้ป้ายนี้ยังมีบางสิ่งซุกซ่อนอยู่ มันคือ...

ทีแรกนึกว่าระเบิดที่กู้ขึ้นมาไม่ได้นะฮะ แต่จริงๆมันคือไทม์แคปซูลที่เก็บอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับสโมสรไว้ อันนี้ไม่ทันฟังไกด์บอกว่าจะมีวันที่ขุดขึ้นมารึเปล่า


นี่แล ไทม์แคปซูลที่ "ซุก" ไว้ด้านล่าง

ถัดมาเราก็จะไปล้วงความลับด้านในกัน คือเห็นแล้วบอกว่าน่าทึ่งมาก เพราะห้องอาบน้ำสำหรับนักเตะยังดูมีชาติตระกูลมาก แถมพื้นที่เป็นทางเดินก็ทำจากวัสดุกันลื่นทั้งหมด เพราะตรงนี้ผ่านกระบวนการคิดมาแล้วสำหรับป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุแบบที่คาดไม่ถึงอย่างการลื่นล้ม ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆแต่ของแบบนี้นี่แหละที่หลายคนมักมองข้าม


ถ้ำมองห้องน้ำ


ถ้ำมองห้องพยาบาลและกายภาพ

ถัดจากห้องน้ำกับห้องพยาบาลก็มาถึงห้องแต่งตัวที่ใช้เป็นที่ประชุมทีมก่อนเกม ตรงนี้ลุงไกด์แกยังบอกว่าตรงนี้ก็ผ่านการออกแบบมาเพื่อรองรับเหตุผลด้านจิตวิทยาไว้เหมือนกัน คือตำแหน่งที่นั่งของนักเตะทุกคนนั้นจะมองเห็นกันหมด ตรงนี้เค้าว่าจะมีส่วนในการปลุกเร้าจิตใจให้ฮึกเหิมได้ หรือแม้แต่สีที่ทาก็ผ่านการวิเคราะห์มาแล้วว่าจะช่วยให้มุ่งมั่นขึ้น ส่วนในห้องแต่งตัวทีมเยือนก็จะมีการจัดวางตำแหน่งเพื่อให้ผลลบในทางจิตวิทยาเหมือนกัน


ตำแหน่งที่นั่งของนักเตะจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆในแต่ละเกม วนจากขวามือของภาพคือไล่จากผู้รักษาประตู-กองหลัง-กองกลาง-กองหน้า-ตัวสำรอง ส่วนเบอร์ 5 ที่เห็นอยู่นั่นคือตรงกลางห้องที่เว้นไว้ให้สำหรับกัปตันทีม (ช่วงที่ไปดู เชส ฟาเบรกาส ยังเจ็บอยู่ โคโล ตูเร่ เลยได้เป็นกัปตันทีมแทน)

จบจากตรงนี้ก็ถึงคราวพาลงไปสัมผัสในสนามผ่านอุโมงค์นักเตะกัน



ภาพแรกหลังเดินออกมาจากอุโมงค์นักเตะก็จะเป็นแบบนี้เอง


วัสดุสำหรับเก้าอี้ทั่วไปในสนามอาจจะไม่หรูเท่าตรงวีไอพี แต่เทียบกับสนามอื่นๆแล้วฟันธงได้ว่าดีกว่ากันเยอะ

จบจากด้านในสนามแล้ว ไกด์ก็พาคณะทัวร์เข้าไปสัมผัสบรรยากาศในบ็อกซ์นักข่าวกัน ทั้งตรงห้องแถลงข่าวกับมีเดียเซนเตอร์ที่เป็นทั้งที่พักผ่อนที่ทำงานของบรรดานักข่าวหัวทองหัวดำในวันแข่ง เห็นแล้วก็อย่าหลงคิดไปว่าสนามอื่นๆในพรีเมียร์ลีกเขาเป็นแบบนี้กันนะครับ อย่างแอนฟิลด์นี่ไม่อยากเซดเลย หยั่งก๊ะห้องเก็บของ

เสร็จสรรพการทัวร์เอมิเรตส์แล้วก็กินเวลาราวๆหนึ่งชั่วโมงพอดี ก่อนที่ตอนปิดท้ายจะเป็นไปตามธรรมเนียมของสเตเดี้ยมทัวร์ทุกแห่งคือต้องไปจบที่ร้านขายของที่ระลึกของสโฒสร (มุกเดียวกับที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เด๊ะๆ)

แต่จริงๆยังไม่จบแค่นี้ครับ เหมือนเวลาเราซื้อขนมก็ต้องมีของแถมอยู่ในกล่องนั่นละ ส่วนของแถมที่ว่าจะเป็นอะไร เอาไว้วันหลังมาเล่าต่อละกัน เหนื่อยแล้ว...

ปล. ใครที่เป็นแฟนหนังสือ Soccer Fever ถ้าบังเอิญอ่านแล้วไปเห็นว่าภาพในบล็อกนี้มันไปพ้องกับที่ไปโผล่ในบางคอลัมน์ของบางคน ก็อย่าได้แปลกใจ เพราะตอนจบทัวร์ พี่แกมาสะกิดทาบทามภาพที่ถ่ายไว้เต็มกล้องล่วงหน้าแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น: