MetallicaWorld Magnetic Tour 2009
March 2, 2009
O2 Arenaว่างเว้นจากการอัพเดทบล็อกมานาน เปิดเข้ามาดู เพิ่งจะเห็นว่านับจากหนก่อนก็ล่อเข้าไปเดือนนึงพอดี
กลับมาคราวนี้เลยถือโอกาสพาไปเที่ยว O2 อารีน่า ที่ว่ากันว่าตอนนี้เป็นเบอร์หนึ่งของสถานที่จัดคอนเสิร์ตในยูเคไปเรียบร้อย คือถ้าเป็นคอนเสิร์ตแบบอินดอร์แล้ว ใครที่ได้มาเล่นที่นี่คือต้องเป็นระดับโลกเท่านั้น ถ้ายังไม่ถึงชั้นก็ต้องถอยไปเล่นที่ เวมบลีย์ อารีน่า แทน
คือมันก็จริงอย่างที่เค้าว่ากัน ถ้าจับมาเทียบระดับมาตรฐานทุกอย่างแล้ว ต้องบอกว่า เวมบลีย์ อารีน่า สู้ไม่ได้เลย ทั้งความสวยงามภายนอกภายใน ระบบการรักษาความปลอดภัย หรือเรื่องอื่นๆอีกจิปาถะ
อย่างล่าสุดเห็นเค้าว่า Michael Jackson จะมาจัดคอนเสิร์ต 50 รอบ ตั้งแต่กรกฎาคม 2009 ถึงกุมภาพันธ์ 2010 โน่น ตกลงนี่จะกินจะนอนกันที่นั่นเลยรึเปล่าก็ไม่ทราบได้
ส่วนตัว การมา O2 หนนี้ ก็ปาเข้าไปครั้งที่สามแล้ว ไล่จากดู Queen+Paul Rodgers ตามด้วย Monkey (ละครเพลงที่มี Damon Albarn กับ Jamie Hewlett มาทำดนตรีประกอบกับวิชวลเอฟเฟกต์ให้) คือจริงๆก็อยากมาบ่อยนะ แต่ตั๋วมันแพง เลยต้องเลือกเอาวงที่ชอบมากๆหน่อย ซึ่งคราวนี้หวยก็มาลงที่ Metallica
บรรยากาศบริเวณด้านหน้า O2 arena ในวันงานทีแรกก็ยังชั่งใจอยู่เหมือนกันว่าจะมาดูดีรึเปล่า เพราะ Death Magnetic อัลบั้มล่าสุด มันก็ประทับใจแค่ระดับนึง คือดีกว่าทุกชุดตั้งแต่หมด Black Album ก็จริง แต่มันเหมือนเดิมๆ ตันๆ ยังไงชอบกล ยิ่งช่วงไล่ๆกันนั้น ดันไปเห่อฟัง Trivium ซะอีก Metallica เลยกลายเป็นลูกเมียน้อยไปพักใหญ่
แต่ก็นั่นละนะ พอคิดว่าอาจจะไม่ได้ดูอีกแล้วก็ได้เลยต้องตื่นมานั่งเฝ้าหน้าเว็บสำหรับจองตั๋วตั้งแต่เช้า แล้วก็เป็นอย่างที่คาดจริงๆ คือบัตรยืนนั้นโดนกว้านไปเหมือนพายุพัดผ่านตั้งแต่ช่วงนาทีแรกๆ (ต้องบอกว่านาทีแรกๆเลย เพราะที่นี่มีพวกเอเยนต์รอมากว้านซื้อตั๋วที่ดีๆไปขายต่อในราคาแพงกว่าหน้าตั๋วเสมอ)
ขนาดว่าตื่นมาดักรอตั๋วยืนยังไม่ทัน ก็เอาก็เอาวะ ตั๋วนั่งก็ได้ ผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาทียังน่าจะพอมี สุดท้ายก็กดไป 45 ปอนด์ บวกกับค่าส่งค่าหัวคิวของเว็บอีก 7-8 ปอนด์เห็นจะได้ คิดเป็นเงินไทยก็เลือดซิบเหมือนกันนะ
คือที่จองนี่บอกก่อนว่าจองกันข้ามปี รู้สึกจะตั้งแต่ 23 ตุลาคม ปี 2008 โน่น ไอ้ประเภทไปรอซื้อที่บ็อกซ์ออฟฟิศวันเล่นแบบบ้านเรา แบบนั้นสงสัยได้แต่เงี่ยหูฟังที่ข้างกำแพงอย่างเดียว
แต่พอถึงวันงานแล้วรู้สึกว่าคุ้มขึ้นมาถนัดใจตั้งแต่คนตรวจตั๋วในอารีน่าชี้ทิศให้ดูแล้ว คืออยู่สูงพอประมาณ ขนาดเห็นเวทีที่จัดวางไว้ตรงกลางอารีน่าได้ทั่ว ที่สำคัญอยู่ตรงกับตำแหน่งที่วางไมโครโฟนสำหรับนักร้องนำพอดี คือถ้าเค้าอนุญาตให้หอบ DSLR กับเลนส์ซูมเข้าไปนี่มันแน่ แต่ก็อย่างที่รู้กัน ได้เฉพาะกล้องคอมแพกต์เท่านั้น งานนี้เลยต้องยกให้น้อง Leica อีกตามเคย คือซูมจนพอเห็นได้ชัดเจน แต่ภาพที่ออกมาก็จะมีนอยส์เยอะ(ไม่)หน่อยนะ
ตอนเดินเข้าไปนั้น รู้สึกจะล่ากว่าเวลาเปิดประตูคือ 18.30 น. แค่นิดหน่อย แต่ปรากฎว่าวงเปิดวงแรกคือ The Sword เริ่มเล่นไปแล้ว
The Sword วงเปิดวงแรกของงานพูดถึง The Sword จริงๆเคยอ่านเจอในหนังสือกับคลิกเข้าไปฟังใน myspace ดูบ้าง แต่ไม่เคยอุดหนุนงานเหมือนกัน แนวของวงก็ออกไปทาง สโตเนอร์ หรือ ดูม อะไรเทือกนั้น (ไม่เหมือน ทาทา ดูมๆ นะเฟ้ย) คือจะหนักๆหนืดๆ คล้าย Black Sabbath ยุคดั้งเดิม
ยิ่งแสงสีบนเวทีที่เดี๋ยวสว่างจ้าเดี๋ยวมืดตื๋อ สร้างความลำบากให้กับตากล้องสมัครเล่นมาก คือต่อให้มีหนึ่งจุดแดงติดอยู่บนกล้อง มันก็ยังเป็นแค่กล้องคอมแพกต์อยู่ดี แถมคนใช้ก็ยังอ่อนมาก กว่าจะจับจุดได้ก็วงก็เล่นจบครบคิว เดินลงเวทีไปแล้ว ฮ่าๆ (หัวเราะไปน้ำตาไหลไป)
วงถัดมานี่ก็ชอบระดับนึงเลย สำหรับ Machine Head โดยเฉพาะชุดล่าสุด The Blackening ที่บางคนบอกมันยืดเยื้อยืดยาวเกินไป แต่มันดิบมันโหดมันสะใจดีแท้สำหรับคนชอบแธรช ซึ่งก็ถือว่าน่าจะเป็นกลุ่มใกล้เคียงกับ Metallica ขึ้นมาอีกหน่อย
Phil Demmel แห่ง Machine F***ing Headเหลือบลงไปดูด้านล่างก็ใส่เสื้อยืด Machine Head กันมามิใช่น้อย โดยเฉพาะตัวที่มีข้อความด้านหลังว่า "Machine F***ing Head" นี่จะเยอะเป็นพิเศษ และก็เป็นคำที่ทุกคนจะใช้ตะโกนเรียกทางวงตลอดเวลาด้วย
ลืมอธิบายลักษณะเวทีไปว่าคอนเสิร์ตนี้ไม่ได้วางเวทีไว้หลบมุมเหมือนทั่วไป แต่ย้ายมาวางตรงกลางอารีน่า เท่ากับว่าทั้งคนดูที่อยู่บนอัฒจันทร์หรือที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็จะมีมุมมองไม่ต่างกันมาก นักดนตรีก็จะต้องขยันมูฟหน่อย เดี๋ยวโชว์ด้านนี้เสร็จ ก็ต้องวิ่งไปเล่นกับคนดูที่อีกฟากบ้าง ลองนึกภาพเวทีคอนเสิร์ตในซูเปอร์โบว์ลแต่ละครั้งน่าจะนึกออก ที่สำคัญรู้สึกทุกคอนเสิร์ตใน World Magnetic Tour ก็จะต้องจัดวางแบบนี้ด้วย
อย่างตำแหน่งที่นั่งอยู่ ช่วงแรกก็จะเป็น Phil Demmel ที่มาป้วนเปี้ยนเยอะหน่อย ขณะที่ Robb Flynn จะไปเอนเตอร์เทนคนฝั่งตรงข้าม พอสลับกันไปซักเพลงสองเพลง ก็จะมีการสลับตำแหน่งกันเพื่อความเสมอภาคของคนดู นานๆครั้งก็จะมาประสานงานกันบ้าง เทียบกับ The Sword แล้ว ถือว่า Machine Head เอนเตอร์เทนคนดูเก่งกว่า The Sword เยอะ ตรงนี้ส่วนหนึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นเรื่องของประสบการณ์ด้วย แต่ถ้าจะเอาไปเปรียบกับวงเฮดไลน์อย่าง Metallica ก็ยังห่างกันอยู่อีกระดับหนึ่ง
Machine Head เล่นแค่หกเพลงก็จริง แต่ด้วยความที่แต่ละเพลงค่อนข้างยาวก็เลยกินเวลาไปเกือบๆชั่วโมงเหมือนกัน
ทีนี้ก็ถึงช่วงพักเบรคให้คนดูได้หายใจหายคอกันประมาณครึ่งชั่วโมงได้ แล้ว Metallica ก็ขึันเวทีในแบบอลังการมาก คือที่ด้านล่างจะมีรั้วกันเป็นทางให้สมาชิกทั้งสี่คนวิ่งผ่านคนดูขึ้นเวที คือถ้านึกไม่ออกก็ลองจินตนาการว่าคล้ายๆกับเวลานักมวยปล้ำขึ้นเวทีประมาณนั้น
มันมากับความมืด MetallicaThat was just your life เพลงเปิดจากอัลบั้มล่าสุดถูกเลือกมาเป็นเพลงเปิดคอนเสิร์ตไปด้วย ช่วงแรกนี่บอกก่อนเลยว่าถ่ายไม่ได้เลย เพราะไฟถูกปิดมืดตื๋อ แล้วก็จะมีแสงเลเซอร์ยิงมาจากทุกทิศทางเข้าไปที่กลางเวที คือถ้าเห็นแล้วไม่มีเสียง อาจนึกไปว่าเป็นคอนเสิร์ตดิสโกมากกว่าเมทั่ล
โลงขนาดยักษ์จากปกอัลบั้มล่าสุดที่ใช้ติดตั้งสปอตไลต์ขยับไปมาได้ด้วยพูดถึงปฏิกิริยาตอบรับของคนดูก็ต้องบอกว่าดีมาก อาจจะเพราะ Death Magnetic วางตลาดมาได้ประมาณครึ่งปีแล้ว คนที่ซื้อไปฟังก็คงผ่านรูหูกันมาจนชิน เทียบกับเพลงเก่าๆที่งัดขึ้นมาเล่นสลับอย่าง Creeping Death หรือ Holier Than Thou แล้ว ก็ถือว่าไม่เป็นรองเท่าไหร่
ตลกดีตอนที่ James Hetfield ถามคนดูในอารีน่าว่ามีใครเพิ่งมาดู Metallica เป็นครั้งแรกบ้าง ปรากฎว่ายกมือกันเพียบ พี่แกเลยสวนกลับไปว่าแล้วที่ผ่านมาพวกคุณ(มึง)ไปทำอะไรกันอยู่ เรียกเสียงฮาได้พอสมควร แต่สุดท้ายแกก็บอกว่ายังไงก็ตามตอนนี้ก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว (ออกลูกทุ่งนิดนึง)
Robert Trujillo ฉายเดี่ยว
Hammett กับ Ulrichนอกจาก Hetfield, Kirk Hammett กับ Robert Trujillo ที่ต้องวิ่งพล่านไปตามแต่ละมุมของเวทีแล้ว กลองชุดของ Lars Ulrich ก็หันไปได้ทั่วเหมือนกัน แต่ไม่ถึงขนาดเหวี่ยงไปมาแบบ Tommy Lee ของ Motley Crue นะ สมมติจบเซต 2-3 เพลงก็จะมีสตาฟฟ์วิ่งมาหมุนให้หันหน้าไปหาคนดูด้านอื่น จนครบสี่ทิศในตอนช่วงปลายคอนเสิร์ต
กลองชุดของ Lars Ulrich จะมีสตาฟฟ์มาคอยหมุนเปลี่ยนทิศให้เป็นระยะอีกอันนึงที่เสียวแทนนักดนตรีบนเวทีเหมือนกันคือเสาเพลิงที่จะพุ่งขึ้นมาจากด้านล่างของเวทีเป็นระยะ คือขนาดนั่งอยู่ไกลพอสมควรยังรู้สึกถึงความร้อนได้เลย นี่ถ้าพวกผมยาวๆอย่าง Hammett หรือ Trujillo พลาดโดนขึ้นมา น่าจะหัวโกร๋นได้
เสาเพลิงที่ว่าคือไอ้นี่แหละ น่ากลั๊ว น่ากลัวพอจบ The Day That Never Comes เพลงเก่งจากงานชุดล่าสุด ก็ถึงคราวเอาใจแฟนกันแบบเต็มๆด้วยเพลงเก่าแบบมาสเตอร์พีซ ทั้ง Master of Puppets, Damage Inc., Nothing Else Matters และที่ขาดไม่ได้ Enter Sandman ที่เป็นเพลงปิดคอนเสิร์ต
คือถึงตอนนั้นก็ล่อไปห้าทุ่มที่เป็นช่วงเคอร์ฟิวของคอนเสิร์ตทั่วไปแล้ว (สัปดาห์ก่อนหน้าไปดู Judas Priest พอใกล้ห้าทุ่มปุ๊บรีบตัดจบเลย) แต่สงสัยจะกลัวคนดูไม่คุ้ม Hetfield กับพรรคพวกเลยล่ออังกอร์แบบยาวเหยียดอีกสองเพลง คือ Too Late, Too Late (คัฟเวอร์ของ Motorhead) กับ Phantom Lord
ทีแรกนึกว่าจบแล้ว เพราะเห็นพวกพี่แกเดินลงเวทีไป ก่อนจะขึ้นแถมให้อีกหนึ่งชอต แถมคราวนี้ Hetfield สั่งให้เปิดไฟสว่างแบบทั่วๆ จะได้เห็นว่าใครไม่ร้องตามบ้าง แล้วบอลพลาสติกแบบเป่าลมหลายร้อยลูกก็ถูกทยอยปล่อยลงมาระหว่างเพลงปิดท้ายของจริงคือ Seek and destroy จากอัลบั้มแรก ก่อนจะปิดโชว์อย่างเป็นทางการราวๆห้าทุ่มครึ่งซึ่งถือว่าดึกมากสำหรับที่นี่
ไอ้กลมๆดำๆกลางเวทีนั่นแหละคือบอลที่ถูกปล่อยลงมาเป็นร้อยๆลูก คนหิ้วกลับบ้านเพียบถ้าจะให้คะแนนความมันของคอนเสิร์ตนี้ คงอยู่เกือบๆเต็มสิบ เพราะจะมีที่ติดขัดก็ตรงบัตรแพงนี่แหละ ฮ่าๆ
เอ่อ ยังมีอีกเรื่องคือผลลัพธ์จากการเล่นเกินเวลาของ Metallica ทำให้นั่งรถไฟใต้ดินไปได้แค่ครึ่งทางก็ต้องลง เพราะเลยเวลาให้บริการ ทีนี้เลยเป็นทุกขลาภต้องหารถเมล์นั่งต่อกลับบ้านแบบมีฝนเบาๆพรำลงมาตลอดทาง
นี่แหละหนาชีวิต ขนาดจะมีความสุข ยังอุตส่าห์มีอะไรมาให้ลำบากอีกนิดๆหน่อยๆจะได้ไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบจนเกินไป...
Set List (เครดิตจาก www.setlist.fm)
Machine Head
1. Clenching The Fists Of Dissent
2. Imperium
3. Halo
4. Beautiful Mourning
5. Descend The Shades Of Night
6. Davidian
Metallica
1. That Was Just Your Life
2. The End Of The Line
3. Creeping Death
4. Holier Than Thou
5. One
6. Broken, Beat And Scarred
7. Cyanide
8. Sad But True
9. Turn The Page (Bob Seger cover)
10. All Nightmare Long
11. The Day That Never Comes
12. Master Of Puppets
13. Damage Inc.
14. Nothing Else Matters
15. Enter Sandman
Encore:
16. Too Late, Too Late (Motörhead cover)
17. Phantom Lord
18. Seek & Destroy