วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552

You wa Shock!!

อินเตอร์เน็ตนี่มีส่วนทำให้จินตนาการของคนฟุ้งซ่านเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนต่อไหนจริงๆนะครับ

(1)


เรื่องของเรื่องเริ่มต้นจากการที่ผมลองคลิกๆเสิร์ชๆหาเกมใหม่ๆสำหรับเครื่อง PSP ก่อนจะไปสะดุดเข้ากับเกมชื่อ Ten no Haoh - Hokuto no Ken Raoh Gaiden

คุ้นๆกันรึเปล่าสำหรับเด็กหนวดในวัย 30+ ทั้งหลาย สำหรับชื่อ Hokuto No Ken หรือ "หมัดดาวเหนือ"

ครับ ถ้าเด็กผู้ชายจากยุค 80s คนไหนไม่เคยได้ยินชื่อหมัดดาวเหนือ ขออนุมานไว้ก่อนคุณต้องหลุดมาจากป่าเป็นแม่นมั่น หรือไม่ สมัยนั้นก็คงกำลังโดดหนังยางกับเล่นขายของอยู่!?!

อย่างที่รับทราบกัน ตัวเอกของเรื่องนั้นคือ "เคนชิโร่" ขณะที่ "ราโอ" เป็นทั้งศิษย์พี่และศัตรูตัวฉกาจอันดับหนึ่งในช่วงแรกของเรื่อง

ถึงจะเป็นผู้ร้ายแต่ก็เป็นตัวละครที่มีสีสัน และได้รับความนิยมไม่น้อย ถึงขนาดที่ยี่สิบปีให้หลัง มีมังงะ(ก็การ์ตูนคอมมิคนั่นแหละ)ที่เขียนขึ้นใหม่เพื่อเติมเต็มเนื้อหาช่วงที่ขาดหายไป ก่อนที่ "ราโอ" จะสถาปนาตัวเป็น "เจ้าแห่งหมัด"

จะว่าหากินกับของเก่าก็ใช่ แต่ในอีกแง่ มันคงคล้ายๆกับนิยายกำลังภายในยุคก่อน ประมาณว่าในจักรวาลของโก้วเล้ง ก็มีเรื่องราวของ ลี้คิมฮวง แล้วก็เชื่อมโยงต่อยอดทอดแหนไปถึง เอี๊ยบไค หรือ โป้วอั้งเสาะ

จะมีที่ผิดกันหน่อยคือ คนที่เขียนเรื่อง Ten no Haoh - Hokuto no Ken Raoh Gaiden นี้ ไม่ใช่ต้นตำรับอย่าง Buronson (เรื่อง) กับ Tetsuo Hara (ภาพ) แต่เหมาเขียนโดย Yuko Osada และก็ได้รับความนิยมพอสมควร จนถูกนำไปสร้างเป็นแอนิเมชั่นความยาว 13 ตอนจบด้วย

เกมที่ว่าก็มีเบสมาจากมังงะและแอนิเมชั่นเรื่องนี้นี่เอง...

(2)

ตกลงไปหาเกมนี้มาเล่นรึเปล่า?

คำตอบคือเปล่า เพราะเกมนี้ใช้ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ และผมก็ไม่กระดิกซักนิด ถึงพอจะรู้ความหมายของ "อิไต" ก็ตาม!?!

อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นคืออินเตอร์เน็ตทำให้จินตนาการเตลิด พอรู้ว่า Ten no Haoh - Hokuto no Ken Raoh Gaiden ถูกสร้างเป็นแอนิเมชั่นด้วย มือไม้ก็เลยพาลกดๆจิ้มๆก่อนคลิกในคลังของโจรอย่างยูทู้บ ก็ค้นพบจนได้ว่ามีคนเอาไปโพสต์ไว้จนครบทั้ง 13 ตอน เริ่มจากตอนแรกที่ www.youtube.com/watch?v=LKFqOliyF8g

ตกลงจากที่หาเกมเล่นเลยได้ดูหนังการ์ตูนแทนซะงั้น...

(3)


ยังครับ ยังไม่จบ...

จินตนาการเตลิดที่ว่าก็เลยพาให้คุ้ยของโจรในยูทู้บต่อ ด้วยคีย์เวิร์ดสั้นๆว่า You wa Shock!

ก็อย่างที่บอก ถ้าคุณรู้จักหมัดดาวเหนือ ขออนุมานว่าคุณต้องเคยได้ยินเพลงนี้ด้วย

ชื่อจริงๆของเพลงนี้คือ Ai Wo Torimodose (เอ๊ะ หรือ Ai o Torimodose!!) แปลว่า Take back the love!! (อันนี้จำขี้ปากมาจากวิกิพีเดีย ถ้าผิดก็ขอยกความผิดให้กับเว็บนั้นทั้งหมด) เป็นเพลงของวงร็อคจากญี่ปุ่น Crystal King



เสียงร้องสองโทนของวงในเพลงนี้ (ร้องแบบนี้มาก่อน Linkin Park ตั้งยี่สิบปีแล้ว!!!) ท่อนคอรัสที่ฟังดูหนักแน่นนั้นเป็นเสียงของ Monsieur Yoshisaki ส่วนคอรัสที่เป็นเสียงแหลมสูงนั้นเป็นเสียงของ Masayuki Tanaka

ดนตรีสมัยนั้นฟังดูแล้วมันก๊องแก๊งนิดหน่อย แต่เรื่องอารมณ์นั้นได้ใจจิ๊กโก๋มาก แถมถ้าใครได้ดูไตเติลของแอนิเมชั่นยุคนั้นจะรู้สึกว่าเข้ากั๊นเข้ากันเหลือเกิน

ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนรุ่นหลังจะนำมาคัฟเวอร์ใหม่กันอย่างเมามัน หนึ่งในนั้นก็คือ Animetal วงโปรดของคนเขียน

ที่ฮายิ่งไปกว่านั้นคือยังมีคนทั่วโลกที่มีไอเดียแผลงๆกับ Ai Wo Torimodose แล้วนำไปโพสต์ไว้ในยูทู้บอีกเพียบจนนับกันไม่หวาดไม่ไหว อย่างที่ไปขโมยมากองรวมกันไว้ในหน้านี้ ก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น


ลองเสิร์ชคำว่า Grand Karaoke Auto ดูนะครับ จะพบกับคลิปนี้

www.youtube.com/watch?v=Io5wEPLjcI8&feature=related

www.youtube.com/watch?v=6OZSPn7T-Lg&feature=related

www.youtube.com/watch?v=zQgNmdoGeYo

www.youtube.com/watch?v=Rl7X5_uAm3s

www.youtube.com/watch?v=PYzWYbpPEds

www.youtube.com/watch?v=fGEfQDc_Kpo&feature=related

www.youtube.com/watch?v=wNosRvteKkM

ขึ้นต้นด้วยเรื่องเกมแท้ๆ แต่ลงท้ายยังอุตส่าห์ลากมาจบด้วยเรื่องเพลงจนได้

เห็นไหมครับ อินเตอร์เน็ตเนี่ยทำให้จินตนาการของคนฟุ้งซ่านมันเตลิดไปถึงไหนต่อไหนจริงๆ...

ทัวร์เอมิเรตส์...



ตกลงนี่ไปอยู่อังกฤษหรือเอมิเรตส์กันแน่?


ตลกตายละครับ มุกนี้ แต่คนที่หายใจเข้าออกเป็นฟุตบอล หรืออย่างน้อยเคยสูดกลิ่นเกมลูกหนังกันมาบ้าง คงพอรู้กันว่า เอมิเรตส์ ที่ว่านี่หมายถึง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม สนามเหย้าแห่งปัจจุบันของ อาร์เซน่อล สโมสรในพรีเมียร์ลีกต่างหาก

เล่ากันแบบคร่าวๆพอหอมปากหอมคอ สนามแห่งนี้ต้องบอกว่าเป็นเมกกะโปรเจ็กต์จากวิสัยทัศน์ที่มองไกลถึงอนาคตของ อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีม รวมถึงบอร์ดบริหารอาร์เซน่อล ตั้งแต่ตอนปลายทศวรรษที่ 90 ว่าในอนาคตอันใกล้ พรีเมียร์ลีกจะกลายเป็นลีกยอดนิยมอันดับหนึ่งของโลก

เป็นวัฒนธรรมป็อปส่งออกจากเกาะอังกฤษที่ผู้คนทุกผู้ทุกวัยต้องกระโจนเข้าหาหากไม่ต้องการตกเทรนด์ ไม่ต่างอะไรกับฮอลลีวู้ดของอเมริกัน เคป็อปของเกาหลี หรืออีกสารพัดกระแส

ถ้าทุกอย่างเดินไปตามทางที่ เวนเกอร์ เห็นล่วงหน้า ความจุสามเฉียดสี่หมื่นของไฮบิวรี่ บ้านหลังเก่าที่ใช้มายาวนานถึงทำท่าจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ จากแผนเดิมที่เล็งเป้าไปยัง เวมบลีย์ ตามด้วยการสร้างสนามใหม่ แต่แชร์พื้นที่กับอริตลอดกาลอย่าง สเปอร์ส ไม่เป็นผล สุดท้ายเรื่องถึงมาลงเอยบนพื้นที่แถบที่เรียกกันว่า แอชเบอร์ตัน โกรฟ ห่างจากบ้านหลังเดิมแค่ห้าไมล์เศษ

เทียบกับเวมบลีย์ที่ผลาญทั้งเงินทั้งเวลาไปกว่าเจ็ดปี เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ใช้เวลาสร้างจริงอยู่ราวๆสองปีเศษ คือจากกุมภาพันธ์ 2004 ไปเปิดใช้จริงเมื่อตุลาคม 2006 กับความจุที่เพิ่มจากไฮบิวรี่เป็นหกหมื่นที่นั่ง

สร้างเสร็จเร็วแต่ไม่ลวก เพราะเห็นว่าทุกอย่างถูกกำกับอย่างละเอียดด้วยตัว เวนเกอร์ เอง คือไม่ใช่สักแต่สร้างๆให้มันงอกขึ้นมา ทุกอย่างมันมีการเตรียมพร้อมรองรับไว้หมด ทั้งการเดินทาง (รถไฟใต้ดินสายพิคคาดิลลี่ เลือกลงได้ทั้ง ฮอลโลเวย์ โรด หรือ อาร์เซน่อล) หรือสาธารณูปโภคอื่นๆ

ส่วนชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา ก็เพราะเงินตัวเดียวเท่านั้น เพราะระหว่างการระดมทุน ทางสโมสรไปทำข้อตกลงกับสายการบินเอมิเรตส์ให้ใช้ชื่อ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เป็นเวลา 15 ปี แลกกับเงินสปอนเซอร์ 100 ล้านปอนด์ สำหรับมาโปะค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างทั้งสิ้น 430 ล้านปอนด์ (เป็นบ้านเรา เซ็นแกร๊ก 100 ล้านอาจเหลือมาถึงสนามแค่ 10)

เล่าไปเล่ามาชักไม่หอมปากหอมคอ ยาวเหมือนกันแฮะ แต่ที่บอกว่าจะพาเที่ยวคราวนี้ เพราะบังเอิญ มีคนชักชวนไปทัวร์สเตเดี้ยมของสนามที่ทางสโมสรเปิดไว้ดูดเงินนักท่องเที่ยว เหมือนๆสโมสรอื่นๆอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล และอีกเพียบ

ใครสนใจ อยากบอกว่าทำเองก็ได้ง่ายจัง คือในหน้าเว็บไซต์ arsenal.com นั้นมีให้เข้าไปจองกำหนดการล่วงหน้าได้ตามต้องการ คือมีแบบทั้งเป็นทัวร์ปกติกับทัวร์ร่วมกับตำนานนักเตะ(ที่ยังไม่ตาย) แบบหลังจะแพงกว่านิดนึง ในเมื่อเราไม่ได้เป็นแฟนบอลอาร์เซน่อล ก็เลือกแบบปกติที่คิดหัวละ 12 ปอนด์

พอถึงวันเราก็เอา e-ticket ที่มีหมายเลขอ้างอิง (Ref.no.) จะเป็นพรินท์กระดาษไปเองหรือที่เป็นแมสเซจในโทรศัพท์มือถือก็ได้ ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตรงเคาน์เตอร์ก็จะได้สติ๊กเกอร์แทนตั๋วเข้าชมมาแปะที่หน้าอกแบบนี้


ข้อสังเกตอย่างนึงก็คือบริเวณหน้าเคาน์เตอร์ จะมีรูปปั้นของผู้จัดการทีมระดับตำนานของสโมสรตั้งอยู่ด้วย ตำแหน่งของ เวนเกอร์ ดูจะได้รับเกียรติยิ่งกว่า เฮอร์เบิร์ต แชปแมน ผู้จัดการทีมคนแรกที่พาสโมสรประสบความสำเร็จในช่วงก่อนสงครามโลกด้วยซ้ำ คือตั้งไว้ตรงกลางห้อง แถมจากมุมที่ถ่ายก็มีตราสโมสรเป็นแบ็คกราวนด์ให้ด้วย

จะว่าไปก็ไม่แปลก เพราะสนามแห่งนี้ก็เหมือนกับอีกหนึ่งผลิตผลจากมันสมองของ เวนเกอร์
รูปปั้นเวนเกอร์ตั้งอยู่กลางห้อง


รูปปั้นแชปแมนนั้นหลบมุมมาอยู่หลังเคาน์เตอร์รับตั๋ว

จัดการเรื่องตั๋วเสร็จสรรพก็ได้เวลาเข้าไปล้วงความลับในเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมกัน เริ่มจากวีไอพีบ็อกซ์ซึ่งเป็นที่นั่งสังสรรค์และชมเกมของบรรดาผู้บริหารสโมสร รวมถึงแขกคนสำคัญต่างๆ
จากประสบการณ์ตรงคือตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างเท้าเข้าไป จะเห็นว่าวัสดุต่างๆที่เลือกใช้ต้องบอกว่าเป็นของดีล้วนๆ คือเข้าไปแล้วมันให้ความรู้สึกว่าหรูจริง ไม่ใช่มองซ้ายเห็นปูนแตก มองขวาเห็นรอยน้ำฝนซึม กระทั่งไปเทียบกับสนามฟุตบอลอื่นๆในอังกฤษด้วยกัน ถ้าจะเป็นรองใคร คงมีแค่ เวมบลีย์ แห่งใหม่แค่แห่งเดียว (แต่อันนั้นทุนสร้างมากกว่าเกือบเท่าตัว)



ที่ที่น้องหัวหยิก (คนซ้าย) นั่งอยู่ คือเก้าอี้สำหรับแขกพิเศษอย่าง ฟาบิโอ คาเปลโล่ ในกรณีที่ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษมาสังเกตฟอร์มนักเตะในสนาม ส่วนไล่ลงไปถึงด้านล่างสุดของแถวเดียวกัน คือที่นั่งของ ปีเตอร์ ฮิลล์-วู้ด ประธานสโมสคนปัจจุบัน



เบอร์ 10 ขวาสุดนี่แหละคือที่นั่งที่จัดไว้ให้ คาเปลโล่ เบาะนุ่มหนาน่านอนมากถ้าวันนั้นบอลไม่สนุก


ตรงนี้ถ่ายจากเก้าอี้ตัวที่ ฮิลล์-วู้ด นั่งประจำ ทัศนวิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่


กวาดตาไปรอบๆจากบริเวณวีไอพีบ็อกซ์จะเห็นความโค้งเว้าแบบนี้

เสร็จสรรพจากการนั่งบนเก้าอี้คนรวยแล้ว ไกด์ของเราก็พาลงลิฟต์มาด้านล่างบริเวณที่นักเตะจะลงจากรถโค้ชเพื่อเดินเข้าสู่สนามก่อนเริ่มการแข่งขัน ตรงนี้ก็จะขุดลึกลงมาอยู่ใต้ดินซักหน่อย และพอเดินผ่านประตูกระจกก็จะเห็นป้ายข้อความปลุกใจข้างล่างนี้


ที่ใต้ป้ายนี้ยังมีบางสิ่งซุกซ่อนอยู่ มันคือ...

ทีแรกนึกว่าระเบิดที่กู้ขึ้นมาไม่ได้นะฮะ แต่จริงๆมันคือไทม์แคปซูลที่เก็บอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับสโมสรไว้ อันนี้ไม่ทันฟังไกด์บอกว่าจะมีวันที่ขุดขึ้นมารึเปล่า


นี่แล ไทม์แคปซูลที่ "ซุก" ไว้ด้านล่าง

ถัดมาเราก็จะไปล้วงความลับด้านในกัน คือเห็นแล้วบอกว่าน่าทึ่งมาก เพราะห้องอาบน้ำสำหรับนักเตะยังดูมีชาติตระกูลมาก แถมพื้นที่เป็นทางเดินก็ทำจากวัสดุกันลื่นทั้งหมด เพราะตรงนี้ผ่านกระบวนการคิดมาแล้วสำหรับป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุแบบที่คาดไม่ถึงอย่างการลื่นล้ม ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆแต่ของแบบนี้นี่แหละที่หลายคนมักมองข้าม


ถ้ำมองห้องน้ำ


ถ้ำมองห้องพยาบาลและกายภาพ

ถัดจากห้องน้ำกับห้องพยาบาลก็มาถึงห้องแต่งตัวที่ใช้เป็นที่ประชุมทีมก่อนเกม ตรงนี้ลุงไกด์แกยังบอกว่าตรงนี้ก็ผ่านการออกแบบมาเพื่อรองรับเหตุผลด้านจิตวิทยาไว้เหมือนกัน คือตำแหน่งที่นั่งของนักเตะทุกคนนั้นจะมองเห็นกันหมด ตรงนี้เค้าว่าจะมีส่วนในการปลุกเร้าจิตใจให้ฮึกเหิมได้ หรือแม้แต่สีที่ทาก็ผ่านการวิเคราะห์มาแล้วว่าจะช่วยให้มุ่งมั่นขึ้น ส่วนในห้องแต่งตัวทีมเยือนก็จะมีการจัดวางตำแหน่งเพื่อให้ผลลบในทางจิตวิทยาเหมือนกัน


ตำแหน่งที่นั่งของนักเตะจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆในแต่ละเกม วนจากขวามือของภาพคือไล่จากผู้รักษาประตู-กองหลัง-กองกลาง-กองหน้า-ตัวสำรอง ส่วนเบอร์ 5 ที่เห็นอยู่นั่นคือตรงกลางห้องที่เว้นไว้ให้สำหรับกัปตันทีม (ช่วงที่ไปดู เชส ฟาเบรกาส ยังเจ็บอยู่ โคโล ตูเร่ เลยได้เป็นกัปตันทีมแทน)

จบจากตรงนี้ก็ถึงคราวพาลงไปสัมผัสในสนามผ่านอุโมงค์นักเตะกัน



ภาพแรกหลังเดินออกมาจากอุโมงค์นักเตะก็จะเป็นแบบนี้เอง


วัสดุสำหรับเก้าอี้ทั่วไปในสนามอาจจะไม่หรูเท่าตรงวีไอพี แต่เทียบกับสนามอื่นๆแล้วฟันธงได้ว่าดีกว่ากันเยอะ

จบจากด้านในสนามแล้ว ไกด์ก็พาคณะทัวร์เข้าไปสัมผัสบรรยากาศในบ็อกซ์นักข่าวกัน ทั้งตรงห้องแถลงข่าวกับมีเดียเซนเตอร์ที่เป็นทั้งที่พักผ่อนที่ทำงานของบรรดานักข่าวหัวทองหัวดำในวันแข่ง เห็นแล้วก็อย่าหลงคิดไปว่าสนามอื่นๆในพรีเมียร์ลีกเขาเป็นแบบนี้กันนะครับ อย่างแอนฟิลด์นี่ไม่อยากเซดเลย หยั่งก๊ะห้องเก็บของ

เสร็จสรรพการทัวร์เอมิเรตส์แล้วก็กินเวลาราวๆหนึ่งชั่วโมงพอดี ก่อนที่ตอนปิดท้ายจะเป็นไปตามธรรมเนียมของสเตเดี้ยมทัวร์ทุกแห่งคือต้องไปจบที่ร้านขายของที่ระลึกของสโฒสร (มุกเดียวกับที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เด๊ะๆ)

แต่จริงๆยังไม่จบแค่นี้ครับ เหมือนเวลาเราซื้อขนมก็ต้องมีของแถมอยู่ในกล่องนั่นละ ส่วนของแถมที่ว่าจะเป็นอะไร เอาไว้วันหลังมาเล่าต่อละกัน เหนื่อยแล้ว...

ปล. ใครที่เป็นแฟนหนังสือ Soccer Fever ถ้าบังเอิญอ่านแล้วไปเห็นว่าภาพในบล็อกนี้มันไปพ้องกับที่ไปโผล่ในบางคอลัมน์ของบางคน ก็อย่าได้แปลกใจ เพราะตอนจบทัวร์ พี่แกมาสะกิดทาบทามภาพที่ถ่ายไว้เต็มกล้องล่วงหน้าแล้ว

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552

Made in England Online (1)



Metallica
World Magnetic Tour 2009
March 2, 2009
O2 Arena


ว่างเว้นจากการอัพเดทบล็อกมานาน เปิดเข้ามาดู เพิ่งจะเห็นว่านับจากหนก่อนก็ล่อเข้าไปเดือนนึงพอดี

กลับมาคราวนี้เลยถือโอกาสพาไปเที่ยว O2 อารีน่า ที่ว่ากันว่าตอนนี้เป็นเบอร์หนึ่งของสถานที่จัดคอนเสิร์ตในยูเคไปเรียบร้อย คือถ้าเป็นคอนเสิร์ตแบบอินดอร์แล้ว ใครที่ได้มาเล่นที่นี่คือต้องเป็นระดับโลกเท่านั้น ถ้ายังไม่ถึงชั้นก็ต้องถอยไปเล่นที่ เวมบลีย์ อารีน่า แทน

คือมันก็จริงอย่างที่เค้าว่ากัน ถ้าจับมาเทียบระดับมาตรฐานทุกอย่างแล้ว ต้องบอกว่า เวมบลีย์ อารีน่า สู้ไม่ได้เลย ทั้งความสวยงามภายนอกภายใน ระบบการรักษาความปลอดภัย หรือเรื่องอื่นๆอีกจิปาถะ

อย่างล่าสุดเห็นเค้าว่า Michael Jackson จะมาจัดคอนเสิร์ต 50 รอบ ตั้งแต่กรกฎาคม 2009 ถึงกุมภาพันธ์ 2010 โน่น ตกลงนี่จะกินจะนอนกันที่นั่นเลยรึเปล่าก็ไม่ทราบได้

ส่วนตัว การมา O2 หนนี้ ก็ปาเข้าไปครั้งที่สามแล้ว ไล่จากดู Queen+Paul Rodgers ตามด้วย Monkey (ละครเพลงที่มี Damon Albarn กับ Jamie Hewlett มาทำดนตรีประกอบกับวิชวลเอฟเฟกต์ให้) คือจริงๆก็อยากมาบ่อยนะ แต่ตั๋วมันแพง เลยต้องเลือกเอาวงที่ชอบมากๆหน่อย ซึ่งคราวนี้หวยก็มาลงที่ Metallica


บรรยากาศบริเวณด้านหน้า O2 arena ในวันงาน

ทีแรกก็ยังชั่งใจอยู่เหมือนกันว่าจะมาดูดีรึเปล่า เพราะ Death Magnetic อัลบั้มล่าสุด มันก็ประทับใจแค่ระดับนึง คือดีกว่าทุกชุดตั้งแต่หมด Black Album ก็จริง แต่มันเหมือนเดิมๆ ตันๆ ยังไงชอบกล ยิ่งช่วงไล่ๆกันนั้น ดันไปเห่อฟัง Trivium ซะอีก Metallica เลยกลายเป็นลูกเมียน้อยไปพักใหญ่

แต่ก็นั่นละนะ พอคิดว่าอาจจะไม่ได้ดูอีกแล้วก็ได้เลยต้องตื่นมานั่งเฝ้าหน้าเว็บสำหรับจองตั๋วตั้งแต่เช้า แล้วก็เป็นอย่างที่คาดจริงๆ คือบัตรยืนนั้นโดนกว้านไปเหมือนพายุพัดผ่านตั้งแต่ช่วงนาทีแรกๆ (ต้องบอกว่านาทีแรกๆเลย เพราะที่นี่มีพวกเอเยนต์รอมากว้านซื้อตั๋วที่ดีๆไปขายต่อในราคาแพงกว่าหน้าตั๋วเสมอ)

ขนาดว่าตื่นมาดักรอตั๋วยืนยังไม่ทัน ก็เอาก็เอาวะ ตั๋วนั่งก็ได้ ผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาทียังน่าจะพอมี สุดท้ายก็กดไป 45 ปอนด์ บวกกับค่าส่งค่าหัวคิวของเว็บอีก 7-8 ปอนด์เห็นจะได้ คิดเป็นเงินไทยก็เลือดซิบเหมือนกันนะ

คือที่จองนี่บอกก่อนว่าจองกันข้ามปี รู้สึกจะตั้งแต่ 23 ตุลาคม ปี 2008 โน่น ไอ้ประเภทไปรอซื้อที่บ็อกซ์ออฟฟิศวันเล่นแบบบ้านเรา แบบนั้นสงสัยได้แต่เงี่ยหูฟังที่ข้างกำแพงอย่างเดียว

แต่พอถึงวันงานแล้วรู้สึกว่าคุ้มขึ้นมาถนัดใจตั้งแต่คนตรวจตั๋วในอารีน่าชี้ทิศให้ดูแล้ว คืออยู่สูงพอประมาณ ขนาดเห็นเวทีที่จัดวางไว้ตรงกลางอารีน่าได้ทั่ว ที่สำคัญอยู่ตรงกับตำแหน่งที่วางไมโครโฟนสำหรับนักร้องนำพอดี คือถ้าเค้าอนุญาตให้หอบ DSLR กับเลนส์ซูมเข้าไปนี่มันแน่ แต่ก็อย่างที่รู้กัน ได้เฉพาะกล้องคอมแพกต์เท่านั้น งานนี้เลยต้องยกให้น้อง Leica อีกตามเคย คือซูมจนพอเห็นได้ชัดเจน แต่ภาพที่ออกมาก็จะมีนอยส์เยอะ(ไม่)หน่อยนะ

ตอนเดินเข้าไปนั้น รู้สึกจะล่ากว่าเวลาเปิดประตูคือ 18.30 น. แค่นิดหน่อย แต่ปรากฎว่าวงเปิดวงแรกคือ The Sword เริ่มเล่นไปแล้ว


The Sword วงเปิดวงแรกของงาน

พูดถึง The Sword จริงๆเคยอ่านเจอในหนังสือกับคลิกเข้าไปฟังใน myspace ดูบ้าง แต่ไม่เคยอุดหนุนงานเหมือนกัน แนวของวงก็ออกไปทาง สโตเนอร์ หรือ ดูม อะไรเทือกนั้น (ไม่เหมือน ทาทา ดูมๆ นะเฟ้ย) คือจะหนักๆหนืดๆ คล้าย Black Sabbath ยุคดั้งเดิม

ยิ่งแสงสีบนเวทีที่เดี๋ยวสว่างจ้าเดี๋ยวมืดตื๋อ สร้างความลำบากให้กับตากล้องสมัครเล่นมาก คือต่อให้มีหนึ่งจุดแดงติดอยู่บนกล้อง มันก็ยังเป็นแค่กล้องคอมแพกต์อยู่ดี แถมคนใช้ก็ยังอ่อนมาก กว่าจะจับจุดได้ก็วงก็เล่นจบครบคิว เดินลงเวทีไปแล้ว ฮ่าๆ (หัวเราะไปน้ำตาไหลไป)

วงถัดมานี่ก็ชอบระดับนึงเลย สำหรับ Machine Head โดยเฉพาะชุดล่าสุด The Blackening ที่บางคนบอกมันยืดเยื้อยืดยาวเกินไป แต่มันดิบมันโหดมันสะใจดีแท้สำหรับคนชอบแธรช ซึ่งก็ถือว่าน่าจะเป็นกลุ่มใกล้เคียงกับ Metallica ขึ้นมาอีกหน่อย

Phil Demmel แห่ง Machine F***ing Head

เหลือบลงไปดูด้านล่างก็ใส่เสื้อยืด Machine Head กันมามิใช่น้อย โดยเฉพาะตัวที่มีข้อความด้านหลังว่า "Machine F***ing Head" นี่จะเยอะเป็นพิเศษ และก็เป็นคำที่ทุกคนจะใช้ตะโกนเรียกทางวงตลอดเวลาด้วย

ลืมอธิบายลักษณะเวทีไปว่าคอนเสิร์ตนี้ไม่ได้วางเวทีไว้หลบมุมเหมือนทั่วไป แต่ย้ายมาวางตรงกลางอารีน่า เท่ากับว่าทั้งคนดูที่อยู่บนอัฒจันทร์หรือที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็จะมีมุมมองไม่ต่างกันมาก นักดนตรีก็จะต้องขยันมูฟหน่อย เดี๋ยวโชว์ด้านนี้เสร็จ ก็ต้องวิ่งไปเล่นกับคนดูที่อีกฟากบ้าง ลองนึกภาพเวทีคอนเสิร์ตในซูเปอร์โบว์ลแต่ละครั้งน่าจะนึกออก ที่สำคัญรู้สึกทุกคอนเสิร์ตใน World Magnetic Tour ก็จะต้องจัดวางแบบนี้ด้วย

อย่างตำแหน่งที่นั่งอยู่ ช่วงแรกก็จะเป็น Phil Demmel ที่มาป้วนเปี้ยนเยอะหน่อย ขณะที่ Robb Flynn จะไปเอนเตอร์เทนคนฝั่งตรงข้าม พอสลับกันไปซักเพลงสองเพลง ก็จะมีการสลับตำแหน่งกันเพื่อความเสมอภาคของคนดู นานๆครั้งก็จะมาประสานงานกันบ้าง เทียบกับ The Sword แล้ว ถือว่า Machine Head เอนเตอร์เทนคนดูเก่งกว่า The Sword เยอะ ตรงนี้ส่วนหนึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นเรื่องของประสบการณ์ด้วย แต่ถ้าจะเอาไปเปรียบกับวงเฮดไลน์อย่าง Metallica ก็ยังห่างกันอยู่อีกระดับหนึ่ง

Machine Head เล่นแค่หกเพลงก็จริง แต่ด้วยความที่แต่ละเพลงค่อนข้างยาวก็เลยกินเวลาไปเกือบๆชั่วโมงเหมือนกัน

ทีนี้ก็ถึงช่วงพักเบรคให้คนดูได้หายใจหายคอกันประมาณครึ่งชั่วโมงได้ แล้ว Metallica ก็ขึันเวทีในแบบอลังการมาก คือที่ด้านล่างจะมีรั้วกันเป็นทางให้สมาชิกทั้งสี่คนวิ่งผ่านคนดูขึ้นเวที คือถ้านึกไม่ออกก็ลองจินตนาการว่าคล้ายๆกับเวลานักมวยปล้ำขึ้นเวทีประมาณนั้น


มันมากับความมืด Metallica

That was just your life เพลงเปิดจากอัลบั้มล่าสุดถูกเลือกมาเป็นเพลงเปิดคอนเสิร์ตไปด้วย ช่วงแรกนี่บอกก่อนเลยว่าถ่ายไม่ได้เลย เพราะไฟถูกปิดมืดตื๋อ แล้วก็จะมีแสงเลเซอร์ยิงมาจากทุกทิศทางเข้าไปที่กลางเวที คือถ้าเห็นแล้วไม่มีเสียง อาจนึกไปว่าเป็นคอนเสิร์ตดิสโกมากกว่าเมทั่ล


โลงขนาดยักษ์จากปกอัลบั้มล่าสุดที่ใช้ติดตั้งสปอตไลต์ขยับไปมาได้ด้วย

พูดถึงปฏิกิริยาตอบรับของคนดูก็ต้องบอกว่าดีมาก อาจจะเพราะ Death Magnetic วางตลาดมาได้ประมาณครึ่งปีแล้ว คนที่ซื้อไปฟังก็คงผ่านรูหูกันมาจนชิน เทียบกับเพลงเก่าๆที่งัดขึ้นมาเล่นสลับอย่าง Creeping Death หรือ Holier Than Thou แล้ว ก็ถือว่าไม่เป็นรองเท่าไหร่

ตลกดีตอนที่ James Hetfield ถามคนดูในอารีน่าว่ามีใครเพิ่งมาดู Metallica เป็นครั้งแรกบ้าง ปรากฎว่ายกมือกันเพียบ พี่แกเลยสวนกลับไปว่าแล้วที่ผ่านมาพวกคุณ(มึง)ไปทำอะไรกันอยู่ เรียกเสียงฮาได้พอสมควร แต่สุดท้ายแกก็บอกว่ายังไงก็ตามตอนนี้ก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว (ออกลูกทุ่งนิดนึง)

Robert Trujillo ฉายเดี่ยว


Hammett กับ Ulrich

นอกจาก Hetfield, Kirk Hammett กับ Robert Trujillo ที่ต้องวิ่งพล่านไปตามแต่ละมุมของเวทีแล้ว กลองชุดของ Lars Ulrich ก็หันไปได้ทั่วเหมือนกัน แต่ไม่ถึงขนาดเหวี่ยงไปมาแบบ Tommy Lee ของ Motley Crue นะ สมมติจบเซต 2-3 เพลงก็จะมีสตาฟฟ์วิ่งมาหมุนให้หันหน้าไปหาคนดูด้านอื่น จนครบสี่ทิศในตอนช่วงปลายคอนเสิร์ต


กลองชุดของ Lars Ulrich จะมีสตาฟฟ์มาคอยหมุนเปลี่ยนทิศให้เป็นระยะ

อีกอันนึงที่เสียวแทนนักดนตรีบนเวทีเหมือนกันคือเสาเพลิงที่จะพุ่งขึ้นมาจากด้านล่างของเวทีเป็นระยะ คือขนาดนั่งอยู่ไกลพอสมควรยังรู้สึกถึงความร้อนได้เลย นี่ถ้าพวกผมยาวๆอย่าง Hammett หรือ Trujillo พลาดโดนขึ้นมา น่าจะหัวโกร๋นได้

เสาเพลิงที่ว่าคือไอ้นี่แหละ น่ากลั๊ว น่ากลัว

พอจบ The Day That Never Comes เพลงเก่งจากงานชุดล่าสุด ก็ถึงคราวเอาใจแฟนกันแบบเต็มๆด้วยเพลงเก่าแบบมาสเตอร์พีซ ทั้ง Master of Puppets, Damage Inc., Nothing Else Matters และที่ขาดไม่ได้ Enter Sandman ที่เป็นเพลงปิดคอนเสิร์ต

คือถึงตอนนั้นก็ล่อไปห้าทุ่มที่เป็นช่วงเคอร์ฟิวของคอนเสิร์ตทั่วไปแล้ว (สัปดาห์ก่อนหน้าไปดู Judas Priest พอใกล้ห้าทุ่มปุ๊บรีบตัดจบเลย) แต่สงสัยจะกลัวคนดูไม่คุ้ม Hetfield กับพรรคพวกเลยล่ออังกอร์แบบยาวเหยียดอีกสองเพลง คือ Too Late, Too Late (คัฟเวอร์ของ Motorhead) กับ Phantom Lord

ทีแรกนึกว่าจบแล้ว เพราะเห็นพวกพี่แกเดินลงเวทีไป ก่อนจะขึ้นแถมให้อีกหนึ่งชอต แถมคราวนี้ Hetfield สั่งให้เปิดไฟสว่างแบบทั่วๆ จะได้เห็นว่าใครไม่ร้องตามบ้าง แล้วบอลพลาสติกแบบเป่าลมหลายร้อยลูกก็ถูกทยอยปล่อยลงมาระหว่างเพลงปิดท้ายของจริงคือ Seek and destroy จากอัลบั้มแรก ก่อนจะปิดโชว์อย่างเป็นทางการราวๆห้าทุ่มครึ่งซึ่งถือว่าดึกมากสำหรับที่นี่


ไอ้กลมๆดำๆกลางเวทีนั่นแหละคือบอลที่ถูกปล่อยลงมาเป็นร้อยๆลูก คนหิ้วกลับบ้านเพียบ

ถ้าจะให้คะแนนความมันของคอนเสิร์ตนี้ คงอยู่เกือบๆเต็มสิบ เพราะจะมีที่ติดขัดก็ตรงบัตรแพงนี่แหละ ฮ่าๆ

เอ่อ ยังมีอีกเรื่องคือผลลัพธ์จากการเล่นเกินเวลาของ Metallica ทำให้นั่งรถไฟใต้ดินไปได้แค่ครึ่งทางก็ต้องลง เพราะเลยเวลาให้บริการ ทีนี้เลยเป็นทุกขลาภต้องหารถเมล์นั่งต่อกลับบ้านแบบมีฝนเบาๆพรำลงมาตลอดทาง

นี่แหละหนาชีวิต ขนาดจะมีความสุข ยังอุตส่าห์มีอะไรมาให้ลำบากอีกนิดๆหน่อยๆจะได้ไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบจนเกินไป...

Set List (เครดิตจาก www.setlist.fm)

Machine Head
1. Clenching The Fists Of Dissent
2. Imperium
3. Halo
4. Beautiful Mourning
5. Descend The Shades Of Night
6. Davidian

Metallica
1. That Was Just Your Life
2. The End Of The Line
3. Creeping Death
4. Holier Than Thou
5. One
6. Broken, Beat And Scarred
7. Cyanide
8. Sad But True
9. Turn The Page (Bob Seger cover)
10. All Nightmare Long
11. The Day That Never Comes
12. Master Of Puppets
13. Damage Inc.
14. Nothing Else Matters
15. Enter Sandman
Encore:
16. Too Late, Too Late (Motörhead cover)
17. Phantom Lord
18. Seek & Destroy