วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552

เคานท์ดาวน์กับฝูงชน...หนแรกในชีวิต

หลังจากบิดเบี้ยว ไม่ยอมเขียนบล็อกอย่างที่คุยไว้กับญาติพี่น้องรวมถึงเพื่อนฝูงถึงชีวิตในอังกฤษซักที ผ่านมาแล้วห้าเดือนฝ่าๆถึงได้ฤกษ์เบิกโรงเอาก็ปาเข้าไปวันแรกของปี 2009 ซะแล้ว

ส่วนนึงที่ไม่ได้เขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราวซักที ก็เพราะมันไม่มีอะไรจะเขียนนี่แหละ ไอ้เรื่องที่ควรเขียน มันก็ไปโผล่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์กับแม็กกาซีนตามสายงานจนหมดเกลี้ยง บางทีหมดทั้งแรง หมดทั้งไอเดีย จนไม่รู้จะเขียนอะไรออกมาอีก

ก็นั่นละ ไหนๆก็ย่างเข้าปีใหม่เรียบร้อย เลยขออนุญาตประกาศศักดาบล็อกเขียนเอง อ่านเองกับเขาซักที ไว้เตือนความทรงจำตัวเอง + เล่าชีวิตในอังกฤษให้คนรู้จักคนใกล้ตัวรับรู้กัน...

กั๊บป๋ม ไหนๆเริ่มต้นกันในวันปีใหม่ก็ขอเล่าย้อนไปถึงประสบการณ์หนแรกของชีวิตที่ได้มีโอกาสไปยืนท่ามกลางคนแปลกหน้าอีกนับหมื่นนับแสน รอเวลาให้ปีเก่ามันผ่านไปปีใหม่มันผ่านเข้ามา

พูดถึงประสบการณ์นับถอยหลังแบบส่วนตัวนี่ค่อนข้างขมขื่นนิดนึง เพราะสองปีก่อน ตอนที่ตรงกับวันหยุดของตัวเองพอดี จำแม่นเลยว่าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เดี๋ยวตั้งใจว่าเอาละ เดี๋ยวขอออกไปแรดกลางเมืองซักหน่อย พอซักทุ่มนึงเปิดโทรทัศน์เล่นๆ เจอแต่ข่าววางระเบิดทั่วกรุง เลยได้แต่นอนเกาสะดืออยู่บ้าน

ปีนั้นว่าบัดซบแล้ว ปีที่แล้ว อาจจะยิ่งกว่า ตอนที่เขานับ 5-4-3-2-1 กันนั้นเนี่ย กำลังตีดัมมี่ (ไม่ใช่เล่นไพ่นะ) หรือพูดในภาษาคนทั่วไปว่ากำลังเตรียมงานสำหรับหนังสือพิมพ์วันรุ่งขึ้นว่าหน้าไหนจะลงคอลัมน์ของใคร ลงข่าวไว้หน้าไหน ฯลฯ เหลียวมองไปรอบแผนก รู้สึกจะมีนักข่าวรุ่นพี่พันธุ์สันโดษอยู่สองคน (ขอสงวนนาม) ส่วนที่เหลือหนีไปสังสรรค์กันหมด

ก็นั่นละฮะ ปีนี้ เมื่อชีวิตได้มีอิสระขึ้นนิดนึง (รึเปล่าวะ) พอรุ่นพี่ที่เคารพ (ตัวจริง - ไม่ได้แกล้งไหว้เหมือนบางคน) ชักชวนกันไปเคานท์ดาวน์แถบริมแม่น้ำเธมส์ให้เป็นเกียรติประวัติกับชีวิตซักหน่อย จะปล่อยให้โอกาสผ่านเลยไปก็คงไม่ คิดซะว่ายังไงซะ กูก็อยู่ที่นี่แค่สองปี เลยตอบตกลงง่ายๆ "พี่ไป ผมก็ไป"

จากฝันร้ายของพี่คนนี้ที่ปีก่อน ตั้งใจไปแลกจูบกับคนแถวทราฟัลการ์ สแควร์ แต่สุดท้ายได้แฮปปี้นิวเยียร์อยู่ข้างกองขยะ เพราะคนเยอะจัดจนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าไม่สำเร็จ (ไม่ว่าจะด้วยวิธีการเดิน หรือม้วนตัวไปข้างหน้า) แกถึงชวนไปดูพลุไฟตรง ลอนดอน อาย ที่ริมแม่น้ำเธมส์แทน

แต่ก็นะ คนเราพอตั้งใจจะทำอะไร มักมีอุปสรรคมาเป็นบททดสอบเสมอ...

บททดสอบที่ว่ารู้สึกจะมาในรูปของอาการป่วยไข้ เริ่มจากน้ำมูกธรรมดาในวันคริสต์มาสอีฟ (หมายเหตุ - เรื่องเคานท์ดาวน์นี่คุยกันไว้ล่วงหน้าสองอาทิตย์ได้) ตามด้วยไข้รบกวนเล็กๆช่วงบ็อกซิ่งเดย์ และกลายเป็นอาการไอแบบรัวเป็นปืนกล จนต้องบอกว่าเจ็บหน้าอกมากส์ ไม่รู้ปอดฉีกรึเปล่าเนี่ย

แต่ด้วยความที่ซ่ามาก สุดท้ายก็กดยาแก้ไอยี่ห้อหนึ่งที่รุ่นพี่อีกคนในบริษัท (คนนี้ดังมาก) เคยเป็นพรีเซนเตอร์ให้ ช่วยได้นิดนึง อย่างน้อยก็สกัดจุดความป่วยไว้ได้ระดับหนึ่ง สุดท้าย ก็ลากสังขารออกไปพร้อมกับกล้อง DSLR ที่ซื้อมาแล้วครึ่งปี แต่บอกได้คำเดียวว่ายังใช้ไม่ค่อยเป็น ออกแนวงูๆปลาๆมากกว่า

การเดินทางของชาวคณะ (นอกจากตัวคนเขียน ยังมีรุ่นพี่หนึ่ง รุ่นน้องสอง) เริ่มจากการโซ้ยอา
หารจีนแถวเบย์สวอเตอร์ ก่อนจะขึั้นรถเมล์ไปลงแถว อ็อกซ์ฟอร์ด โร้ด (กระแดะหน่อยก็อ่อน อ็อกซ์-เฝิร์ด)

ตรงนี้แล คือต้นทางก่อนลากขาไปถึงริมแม่น้ำเธมส์ ถ่ายไปมือก็สั่นไปเพราะความหนาวเย็น + มือไม่นิ่งเป็นการส่วนตัว (ใครดูแล้วอยากให้นิ่ง ซื้อขาตั้งกล้องให้ด้วย เอายี่ห้อ manfrotto นะ)

เพื่อความรวดเร็ว ก็ขอตัดฉับไปยังสถานที่เกิดเหตุ ที่คนส่วนหนึ่งซึ่งไม่อยากได้จูบฟรีที่ทราฟัลการ์ ก็จะแยกตัวมาดูพลุไฟตรง ลอนดอน อาย ริมแม่น้ำเธมส์แทน

ณ ที่เกิดเหตุ ตอนที่มาถึง อยู่ราวๆสามทุ่มครึ่ง คนยังไม่ค่อยพลุกพล่านมากนัก แต่พวกที่รู้งานก็มักจะเตรียมเก้าอี้ เตรียมอุปกรณ์สังสรรค์ อาทิ เบียร์, เหล้า, ไวน์ มาสร้างความบันเทิง ควบคู่ไปกับดีเจจาก บีบีซี เรดิโอ วัน ที่มาเปิดเพลงแกล้มให้เต้นแก้หนาวไปพลาง สลับกับประโยค "London! Make Some Noise!!!" ถ้าเป็นบ้านเรา สงสัยจะเปลี่ยนเป็น "ใครยังไม่มี***ยกมือขึ้น!!!"

รูปนี้คือนาทีระทึกใจ เพราะหลังจากตัวเลข 20 บนตึกเชลล์ นับถอยหลังไปจนถึงวินาทีสำคัญ ก็อย่างที่เห็นนี่แล อย่างนี้เองที่เขาเรียกว่า "พลุแตก" แต่บอกตามตรง พลุหรือดอกไม้ไฟของฝรั่งนี่ธรรมดามั่ก ตอนเช้าเปิดหนังสือพิมพ์ดูของฮ่องกง สิงคโปร์ สวยโคตร เห็นแล้วฟันธงว่าเรื่องฟืนไฟแบบนี้ คนเอเชียเก่งกว่าเยอะ

หลังตากลมหนาว ในอุณหภูมิ -2 อยู่เกือบๆสี่ชั่วโมง ได้ดูพลุประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงคราวแยกย้ายกันกลับ ทีนี้ละ โกลาหลน่าดู เพราะพวกที่แยกย้ายกันไปเคานท์ดาวน์ตามแลนด์มาร์คต่างๆของเมือง ก็ถูกต้อนมาเจอกันตรงกลางเมืองนั่นละ เรื่องรถราไม่ต้องพูดถึง เพราะปิดถนนหมด ทางออกของทุกคนคือเดิน เดิน แล้วก็เดิน กว่าจะหารถเมล์ขึั้นกลับถึงบ้านก็ปาไปเกือบตีสามโน่น

ก็นั่นละนะ คือประสบการณ์เคานท์ดาวน์หนแรกกับฝูงชนหนแรกในชีวิต บอกตามตรงว่าไม่ค่อยรู้สึกยินดียินร้ายเท่าไหร่

สงสัยกรูจะแก่แล้วเจงๆ...


3 ความคิดเห็น:

trojan กล่าวว่า...

คนแรกเว้ย แต่อ่านๆดูแล้วสำนวนไม่ใช่ซ้อเจ็ดนี่หว่า(สงสัยจะตามอ่านในmanagerมากไปหน่อย....555) วันนี้ทำงานวันแรกในขณะที่ชาวบ้านเขาหยุดกัน มาก็ทำไรไม่ได้อยู่ดี ส่งของก็ไม่ได้ ขนส่งปิดหมด เลยมานั่งเปิดเมล์อ่านดู อ่าเนะ.....เพื่อนส่ง link มาให้เว้ย (นึกในใจอะไรหว่า) เปิดดูอืม....ตัวหนังสือเล็กมากอ่านไม่ออก ปรับขนาด font ก่อน...อืมม ดีขึ้นมาก แต่ยังไม่อ่านหรอกดูรูปก่อน เพราะเป็นไรที่ดูดึงดูดกว่า
ก็คิดว่าhappy ตามสไตล์(ของเมิง)อ่านะ ถามว่าแก่มั๊ย ยังไม่มีลูกยังไม่แก่หรอก ไม่เหมือน (กรู)55555
ถือโอกาส Happy New Year ตรงนี้ละกัน อืมม....วันก่อนโทษด้วยอ่ะ ตอนนั้นทำไรอยู่จำไม่ได้ มาดูโทร.อีกที เอ....miss call ใครหว่า ชื่อก็ไม่ขึ้น ขึ้นแต่ Unnamed อืมม ....เลยได้แต่นึก มารู้จากเพื่อนติ๊บอีกที

คิดถึงว่ะ ............เสี่ยว!!!
โท
(เอ...ต้องลงชื่อป่าววะ เพิ่งรู้จัก blog ก็คราวนี้ล่ะ)

nongentle กล่าวว่า...

กรูก็แก่แล้ว
alienated กับฝูงชนมากๆ555
ของกรูเค้าคาวน์ที่ริมโขงแถวเชียงคาน เลย

รักษาตัวด้วย
ไว้จะตามอ่าน
nongentle.multiply.com

Manic Nova กล่าวว่า...

ฮี่ ฮี่

ผมอ่านรีวิวคอนเสิร์ตแล้วหมั่นไส้จริงๆ ว่ะครับ แหม่ะ เลือกดูซะผมอิจฉาโว้ยยยยยยยยย แหม่ะ มีบ่นอีกนะ วงนั้นวงนี้สมาชิกไม่ครบ

วุ้ยยยยยยยยย กรุงเทพฯไม่มีดูคร้าบบบบบบบบบบบบบ

บล็อกผมก็เปิดแล้วนะครับ
www.manicnova.com