วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552

แอบดูเต่าทอง (ภาคต้น)

พยายามเตือนตัวเองว่าริจะเขียนบล็อกแล้ว ก็ต้องอัพเดตให้เป็นประจำเป็นนิสัยด้วย

ตอนนี้บอกกับตัวเองว่าอย่างน้อย จะพยายามกัดฟันทำให้ได้เดือนละสี่ครั้ง (ใครบังคับมึงวะเนี่ย?) ส่วนจะทำได้หรือไม่นั้น โปรดอย่ารอคอย แต่จงติดตามด้วยความระทึกในดวงหทัยพลัน... (คุ้นๆมั้ย ประโยคนี้)

จะว่าไป ตอนนี้ก็คล้ายกับเอาของเก่ามาเล่าใหม่ซักเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องที่เคยเขียนลงใน M.E. มาแล้วหนนึง ถ้าสนใจกลับไปซื้อย้อนหลังได้ ออกไปตั้งแต่ประมาณหกเดือนก่อน คือการแวะไป ลิเวอร์พูล เพื่อตามรอย เดอะบีทเทิลส์ กัน

ฟังแล้วเลิศหรูอลังการยังไงมิทราบ จริงๆก็ตามไปดูแลนด์มาร์คไอ้ที่นักท่องเที่ยวเขาไปกันนั่นแล

อันว่า สี่เต่าทองนั้นก็แยกย้ายกันไปตามทางตั้งหลายสิบปีแล้ว แต่ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ทำให้สี่คนนี้ยังคงเป็นเครื่องหมายการค้าของเมือง พอๆกับสินค้าออกทางวัฒนธรรมอีกเรื่องคือฟุตบอล

ยิ่งปี 2008 ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ได้รับเลือกให้เป็น European Capital of Culture ด้วย ภาพเก่าๆของ จอห์น เลนน่อน, พอล แม็คคาร์ทนี่ย์, จอร์จ แฮร์ริสัน กับ ริงโก สตาร์ ก็เลยถูกทางเมืองหยิบมาใช้ จนหันไปทางไหน ยังนึกว่าเป็นยุค บีทเทิลส์มาเนีย กันอยู่


แผนที่เมืองที่เสียบไว้ให้หยิบฟรีตามสถานีรถบัส (บขส.ฝรั่ง) หรือรถไฟ เน้นกันแต่หน้าพี่สี่คนนี้

แต่แหล่งที่ฮิตๆซึ่งคนมักไปสูดกลิ่นที่หลงเหลืออยู่ของ เดอะบีทเทิลส์ น่าจะมีอยู่สองแห่ง แหล่งแรกนั้นฟรี (แต่อยากควักกระเป๋าก็ไม่มีใครว่าอะไร) อันนี้เคยเขียนลงใน M.E. มาแล้ว แต่เล่าซ้ำอีกครั้งคงไม่เป็นไรมั้ง ส่วนแหล่งที่สองนั้นเสียตังค์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าแล้วก็เดี๋ยวเก็บแหล่งที่สองไว้หากินกันตอนต่อไปก็แล้วกัน...

ในตอนแรก ย่านที่เราขอนำเสนอคือ แม็ทธิว สตรีท (Matthew Street) ที่ตั้งของ เดอะเคฟเวิร์น คลับ (The Cavern Club) สถานที่ซึ่ง ไบรอัน เอปสไตน์ ได้พบกับสี่เต่าทองเป็นครั้งแรก ก่อนมีส่วนสำคัญในการปั้นให้ดังกระฉ่อนในฐานะผู้จัดการวง

อันนี้ระหว่างการเดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุ เรามีโอกาสได้พบกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ชาบี อลอนโซ่ และ โมฮาเหม็ด ซิสโซโก้ ออกมาเดินช็อปปิ้งกลางวันแสกๆด้วย ตกใจกันละสิ!?!

มาถึงตรงนี้หนแรกอาจจะสับสนกันเล็กน้อย เพราะมีทั้ง The Cavern Pub กับ The Cavern Club อันที่ลงท้ายว่า Pub นั้นจะตั้งดักอยู่ตรงหัวถนนพอดี แถมยังมีรูปปั้น จอห์น เลนน่อน ยืนท้าวเอวล่อหลอกให้นักท่องเที่ยวไปยืนถ่ายคู่ด้วย

ดูสิ ยืนตากแดดจนตัวดำเลย น่าสงสารมาก

ตรงนี้ฟังความจากคนอื่นซึ่งฟังความจากไกด์มาอีกที (งงมั้ย) ได้เรื่องว่าอันที่ลงท้ายว่า Pub นั้น เหมือนกับเป็นพี่น้องหรือหุ้นส่วนเก่าที่แตกคอกันแล้วแยกตัวออกมาเปิดใหม่ ไม่ใช่ เดอะเคฟเวิร์น ดั้งเดิม

ภายในก็เป็นเหมือนผับสำหรับเข้าไปนั่งดื่มทั่วไป แต่จะมีตู้โชว์สำหรับเก็บของที่ระลึกต่างๆที่เกี่ยวกับ บีทเทิลส์ รวมถึงข่าวสารที่ตัดจากหนังสือพิมพ์กับนิตยสารในยุคที่ดนตรีประเภทเมอร์ซี่ย์บีทกำลังรุ่งเรืองให้ชมไปจิบไป


ซ้ายคือ Gretch ของ แฮร์ริสัน ขวาคือ Rickenbecker ของ เลนน่อน

ส่วน เดอะเคฟเวิร์น ต้นตำรับนั้นต้องอยู่ใต้ดินขอรับ อันนี้เขาเล่ากันมาว่า อลัน ไซต์เนอร์ (Alan Sytner) เจ้าของร้านดั้งเดิมได้แรงบันดาลใจมาจากคลับแจ๊ซในปารีส จนต้องมาควานหาสถานที่ในลักษณะเดียวกัน ก่อนจะมาลงเอยที่นี่ ซึ่งเคยเป็นหลุมหลบภัยยามถูกโจมตีทางอากาศในสมัยสงคราม


นี่คือทางลงของ เดอะเคฟเวิร์น ฉบับต้นตำรับ เดินวนๆลงไปสามสี่รอบก็จะถึงตัวร้าน

ภายในของ เดอะเคฟเวิร์น ก็เหมือนกับผับธรรมดาทั่วไปในอังกฤษ กับเวทีขนาดเล็กที่จะมีนักดนตรีผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาเล่นเพลงของ เดอะบีทเทิลส์ เป็นหลัก แต่วันที่ไป รู้สึกจะมีเฉไฉไปเล่นเพลงของคนอื่นในยุคไล่เลี่ยกันด้วย


โปสเตอร์เก่าๆโฆษณาคอนเสิร์ตของเซอร์ พอลสมัยยังแวะกลับมาเล่นที่นี่เป็นครั้งคราว

นอกจาก เดอะเคฟเวิร์น แล้ว ในย่าน แม็ทธิว สตรีท ยังมีสถานที่ที่ข้องแวะกับ บีทเทิลส์ อีกหลายแห่งอย่าง ฟลานาแกนส์ แอปเปิล (Flanagan's Apple) ก็เป็นผับที่เจ้าของร้านอ้างว่าสมาชิกทั้งสี่คนจะแวะมาดื่มกันต่อที่นี่ หลังจากเล่นที่ เดอะเคฟเวิร์น เสร็จแล้ว (ทำไมมันไม่ดริงค์กันต่อที่นั่นเลยวะ)


อีกแห่งก็คือ เดอะบีทเทิลส์ ช็อป (The Beatles Shop) ซึ่งจะขายของที่ระลึกทุกประเภท ตั้งแต่แม่เหล็กติดตู้เย็น โปสการ์ด เรื่อยไปถึงแผ่นเสียง ซีดี และอื่นๆอีกจิปาถะในราคา "สำหรับนักสะสม" หรือแปลไทยเป็นไทยอีกทีได้ว่าแพงเหลือหลาย น่าเสียดายที่ทางร้านเซย์โนห้ามถ่ายรูป เลยได้แต่ภาพด้านหน้ามาให้ดูกันเท่านั้น



ว่าจะเขียนสั้นๆ ไปๆมาๆกว่าจะจบก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ไว้คราวหน้าไปตามรอย บีทเทิลส์ กันแบบเสียเงินร้อยเปอร์เซนต์ดีกว่า...

วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552

เคานท์ดาวน์กับฝูงชน...หนแรกในชีวิต

หลังจากบิดเบี้ยว ไม่ยอมเขียนบล็อกอย่างที่คุยไว้กับญาติพี่น้องรวมถึงเพื่อนฝูงถึงชีวิตในอังกฤษซักที ผ่านมาแล้วห้าเดือนฝ่าๆถึงได้ฤกษ์เบิกโรงเอาก็ปาเข้าไปวันแรกของปี 2009 ซะแล้ว

ส่วนนึงที่ไม่ได้เขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราวซักที ก็เพราะมันไม่มีอะไรจะเขียนนี่แหละ ไอ้เรื่องที่ควรเขียน มันก็ไปโผล่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์กับแม็กกาซีนตามสายงานจนหมดเกลี้ยง บางทีหมดทั้งแรง หมดทั้งไอเดีย จนไม่รู้จะเขียนอะไรออกมาอีก

ก็นั่นละ ไหนๆก็ย่างเข้าปีใหม่เรียบร้อย เลยขออนุญาตประกาศศักดาบล็อกเขียนเอง อ่านเองกับเขาซักที ไว้เตือนความทรงจำตัวเอง + เล่าชีวิตในอังกฤษให้คนรู้จักคนใกล้ตัวรับรู้กัน...

กั๊บป๋ม ไหนๆเริ่มต้นกันในวันปีใหม่ก็ขอเล่าย้อนไปถึงประสบการณ์หนแรกของชีวิตที่ได้มีโอกาสไปยืนท่ามกลางคนแปลกหน้าอีกนับหมื่นนับแสน รอเวลาให้ปีเก่ามันผ่านไปปีใหม่มันผ่านเข้ามา

พูดถึงประสบการณ์นับถอยหลังแบบส่วนตัวนี่ค่อนข้างขมขื่นนิดนึง เพราะสองปีก่อน ตอนที่ตรงกับวันหยุดของตัวเองพอดี จำแม่นเลยว่าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เดี๋ยวตั้งใจว่าเอาละ เดี๋ยวขอออกไปแรดกลางเมืองซักหน่อย พอซักทุ่มนึงเปิดโทรทัศน์เล่นๆ เจอแต่ข่าววางระเบิดทั่วกรุง เลยได้แต่นอนเกาสะดืออยู่บ้าน

ปีนั้นว่าบัดซบแล้ว ปีที่แล้ว อาจจะยิ่งกว่า ตอนที่เขานับ 5-4-3-2-1 กันนั้นเนี่ย กำลังตีดัมมี่ (ไม่ใช่เล่นไพ่นะ) หรือพูดในภาษาคนทั่วไปว่ากำลังเตรียมงานสำหรับหนังสือพิมพ์วันรุ่งขึ้นว่าหน้าไหนจะลงคอลัมน์ของใคร ลงข่าวไว้หน้าไหน ฯลฯ เหลียวมองไปรอบแผนก รู้สึกจะมีนักข่าวรุ่นพี่พันธุ์สันโดษอยู่สองคน (ขอสงวนนาม) ส่วนที่เหลือหนีไปสังสรรค์กันหมด

ก็นั่นละฮะ ปีนี้ เมื่อชีวิตได้มีอิสระขึ้นนิดนึง (รึเปล่าวะ) พอรุ่นพี่ที่เคารพ (ตัวจริง - ไม่ได้แกล้งไหว้เหมือนบางคน) ชักชวนกันไปเคานท์ดาวน์แถบริมแม่น้ำเธมส์ให้เป็นเกียรติประวัติกับชีวิตซักหน่อย จะปล่อยให้โอกาสผ่านเลยไปก็คงไม่ คิดซะว่ายังไงซะ กูก็อยู่ที่นี่แค่สองปี เลยตอบตกลงง่ายๆ "พี่ไป ผมก็ไป"

จากฝันร้ายของพี่คนนี้ที่ปีก่อน ตั้งใจไปแลกจูบกับคนแถวทราฟัลการ์ สแควร์ แต่สุดท้ายได้แฮปปี้นิวเยียร์อยู่ข้างกองขยะ เพราะคนเยอะจัดจนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าไม่สำเร็จ (ไม่ว่าจะด้วยวิธีการเดิน หรือม้วนตัวไปข้างหน้า) แกถึงชวนไปดูพลุไฟตรง ลอนดอน อาย ที่ริมแม่น้ำเธมส์แทน

แต่ก็นะ คนเราพอตั้งใจจะทำอะไร มักมีอุปสรรคมาเป็นบททดสอบเสมอ...

บททดสอบที่ว่ารู้สึกจะมาในรูปของอาการป่วยไข้ เริ่มจากน้ำมูกธรรมดาในวันคริสต์มาสอีฟ (หมายเหตุ - เรื่องเคานท์ดาวน์นี่คุยกันไว้ล่วงหน้าสองอาทิตย์ได้) ตามด้วยไข้รบกวนเล็กๆช่วงบ็อกซิ่งเดย์ และกลายเป็นอาการไอแบบรัวเป็นปืนกล จนต้องบอกว่าเจ็บหน้าอกมากส์ ไม่รู้ปอดฉีกรึเปล่าเนี่ย

แต่ด้วยความที่ซ่ามาก สุดท้ายก็กดยาแก้ไอยี่ห้อหนึ่งที่รุ่นพี่อีกคนในบริษัท (คนนี้ดังมาก) เคยเป็นพรีเซนเตอร์ให้ ช่วยได้นิดนึง อย่างน้อยก็สกัดจุดความป่วยไว้ได้ระดับหนึ่ง สุดท้าย ก็ลากสังขารออกไปพร้อมกับกล้อง DSLR ที่ซื้อมาแล้วครึ่งปี แต่บอกได้คำเดียวว่ายังใช้ไม่ค่อยเป็น ออกแนวงูๆปลาๆมากกว่า

การเดินทางของชาวคณะ (นอกจากตัวคนเขียน ยังมีรุ่นพี่หนึ่ง รุ่นน้องสอง) เริ่มจากการโซ้ยอา
หารจีนแถวเบย์สวอเตอร์ ก่อนจะขึั้นรถเมล์ไปลงแถว อ็อกซ์ฟอร์ด โร้ด (กระแดะหน่อยก็อ่อน อ็อกซ์-เฝิร์ด)

ตรงนี้แล คือต้นทางก่อนลากขาไปถึงริมแม่น้ำเธมส์ ถ่ายไปมือก็สั่นไปเพราะความหนาวเย็น + มือไม่นิ่งเป็นการส่วนตัว (ใครดูแล้วอยากให้นิ่ง ซื้อขาตั้งกล้องให้ด้วย เอายี่ห้อ manfrotto นะ)

เพื่อความรวดเร็ว ก็ขอตัดฉับไปยังสถานที่เกิดเหตุ ที่คนส่วนหนึ่งซึ่งไม่อยากได้จูบฟรีที่ทราฟัลการ์ ก็จะแยกตัวมาดูพลุไฟตรง ลอนดอน อาย ริมแม่น้ำเธมส์แทน

ณ ที่เกิดเหตุ ตอนที่มาถึง อยู่ราวๆสามทุ่มครึ่ง คนยังไม่ค่อยพลุกพล่านมากนัก แต่พวกที่รู้งานก็มักจะเตรียมเก้าอี้ เตรียมอุปกรณ์สังสรรค์ อาทิ เบียร์, เหล้า, ไวน์ มาสร้างความบันเทิง ควบคู่ไปกับดีเจจาก บีบีซี เรดิโอ วัน ที่มาเปิดเพลงแกล้มให้เต้นแก้หนาวไปพลาง สลับกับประโยค "London! Make Some Noise!!!" ถ้าเป็นบ้านเรา สงสัยจะเปลี่ยนเป็น "ใครยังไม่มี***ยกมือขึ้น!!!"

รูปนี้คือนาทีระทึกใจ เพราะหลังจากตัวเลข 20 บนตึกเชลล์ นับถอยหลังไปจนถึงวินาทีสำคัญ ก็อย่างที่เห็นนี่แล อย่างนี้เองที่เขาเรียกว่า "พลุแตก" แต่บอกตามตรง พลุหรือดอกไม้ไฟของฝรั่งนี่ธรรมดามั่ก ตอนเช้าเปิดหนังสือพิมพ์ดูของฮ่องกง สิงคโปร์ สวยโคตร เห็นแล้วฟันธงว่าเรื่องฟืนไฟแบบนี้ คนเอเชียเก่งกว่าเยอะ

หลังตากลมหนาว ในอุณหภูมิ -2 อยู่เกือบๆสี่ชั่วโมง ได้ดูพลุประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงคราวแยกย้ายกันกลับ ทีนี้ละ โกลาหลน่าดู เพราะพวกที่แยกย้ายกันไปเคานท์ดาวน์ตามแลนด์มาร์คต่างๆของเมือง ก็ถูกต้อนมาเจอกันตรงกลางเมืองนั่นละ เรื่องรถราไม่ต้องพูดถึง เพราะปิดถนนหมด ทางออกของทุกคนคือเดิน เดิน แล้วก็เดิน กว่าจะหารถเมล์ขึั้นกลับถึงบ้านก็ปาไปเกือบตีสามโน่น

ก็นั่นละนะ คือประสบการณ์เคานท์ดาวน์หนแรกกับฝูงชนหนแรกในชีวิต บอกตามตรงว่าไม่ค่อยรู้สึกยินดียินร้ายเท่าไหร่

สงสัยกรูจะแก่แล้วเจงๆ...