ตอนนี้บอกกับตัวเองว่าอย่างน้อย จะพยายามกัดฟันทำให้ได้เดือนละสี่ครั้ง (ใครบังคับมึงวะเนี่ย?) ส่วนจะทำได้หรือไม่นั้น โปรดอย่ารอคอย แต่จงติดตามด้วยความระทึกในดวงหทัยพลัน... (คุ้นๆมั้ย ประโยคนี้)
จะว่าไป ตอนนี้ก็คล้ายกับเอาของเก่ามาเล่าใหม่ซักเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องที่เคยเขียนลงใน M.E. มาแล้วหนนึง ถ้าสนใจกลับไปซื้อย้อนหลังได้ ออกไปตั้งแต่ประมาณหกเดือนก่อน คือการแวะไป ลิเวอร์พูล เพื่อตามรอย เดอะบีทเทิลส์ กัน
ฟังแล้วเลิศหรูอลังการยังไงมิทราบ จริงๆก็ตามไปดูแลนด์มาร์คไอ้ที่นักท่องเที่ยวเขาไปกันนั่นแล
อันว่า สี่เต่าทองนั้นก็แยกย้ายกันไปตามทางตั้งหลายสิบปีแล้ว แต่ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ทำให้สี่คนนี้ยังคงเป็นเครื่องหมายการค้าของเมือง พอๆกับสินค้าออกทางวัฒนธรรมอีกเรื่องคือฟุตบอล
ยิ่งปี 2008 ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ได้รับเลือกให้เป็น European Capital of Culture ด้วย ภาพเก่าๆของ จอห์น เลนน่อน, พอล แม็คคาร์ทนี่ย์, จอร์จ แฮร์ริสัน กับ ริงโก สตาร์ ก็เลยถูกทางเมืองหยิบมาใช้ จนหันไปทางไหน ยังนึกว่าเป็นยุค บีทเทิลส์มาเนีย กันอยู่

แผนที่เมืองที่เสียบไว้ให้หยิบฟรีตามสถานีรถบัส (บขส.ฝรั่ง) หรือรถไฟ เน้นกันแต่หน้าพี่สี่คนนี้
แต่แหล่งที่ฮิตๆซึ่งคนมักไปสูดกลิ่นที่หลงเหลืออยู่ของ เดอะบีทเทิลส์ น่าจะมีอยู่สองแห่ง แหล่งแรกนั้นฟรี (แต่อยากควักกระเป๋าก็ไม่มีใครว่าอะไร) อันนี้เคยเขียนลงใน M.E. มาแล้ว แต่เล่าซ้ำอีกครั้งคงไม่เป็นไรมั้ง ส่วนแหล่งที่สองนั้นเสียตังค์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าแล้วก็เดี๋ยวเก็บแหล่งที่สองไว้หากินกันตอนต่อไปก็แล้วกัน...
ในตอนแรก ย่านที่เราขอนำเสนอคือ แม็ทธิว สตรีท (Matthew Street) ที่ตั้งของ เดอะเคฟเวิร์น คลับ (The Cavern Club) สถานที่ซึ่ง ไบรอัน เอปสไตน์ ได้พบกับสี่เต่าทองเป็นครั้งแรก ก่อนมีส่วนสำคัญในการปั้นให้ดังกระฉ่อนในฐานะผู้จัดการวง


อันนี้ระหว่างการเดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุ เรามีโอกาสได้พบกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ชาบี อลอนโซ่ และ โมฮาเหม็ด ซิสโซโก้ ออกมาเดินช็อปปิ้งกลางวันแสกๆด้วย ตกใจกันละสิ!?!
มาถึงตรงนี้หนแรกอาจจะสับสนกันเล็กน้อย เพราะมีทั้ง The Cavern Pub กับ The Cavern Club อันที่ลงท้ายว่า Pub นั้นจะตั้งดักอยู่ตรงหัวถนนพอดี แถมยังมีรูปปั้น จอห์น เลนน่อน ยืนท้าวเอวล่อหลอกให้นักท่องเที่ยวไปยืนถ่ายคู่ด้วย


ดูสิ ยืนตากแดดจนตัวดำเลย น่าสงสารมาก
ตรงนี้ฟังความจากคนอื่นซึ่งฟังความจากไกด์มาอีกที (งงมั้ย) ได้เรื่องว่าอันที่ลงท้ายว่า Pub นั้น เหมือนกับเป็นพี่น้องหรือหุ้นส่วนเก่าที่แตกคอกันแล้วแยกตัวออกมาเปิดใหม่ ไม่ใช่ เดอะเคฟเวิร์น ดั้งเดิม
ภายในก็เป็นเหมือนผับสำหรับเข้าไปนั่งดื่มทั่วไป แต่จะมีตู้โชว์สำหรับเก็บของที่ระลึกต่างๆที่เกี่ยวกับ บีทเทิลส์ รวมถึงข่าวสารที่ตัดจากหนังสือพิมพ์กับนิตยสารในยุคที่ดนตรีประเภทเมอร์ซี่ย์บีทกำลังรุ่งเรืองให้ชมไปจิบไป

ซ้ายคือ Gretch ของ แฮร์ริสัน ขวาคือ Rickenbecker ของ เลนน่อน
ส่วน เดอะเคฟเวิร์น ต้นตำรับนั้นต้องอยู่ใต้ดินขอรับ อันนี้เขาเล่ากันมาว่า อลัน ไซต์เนอร์ (Alan Sytner) เจ้าของร้านดั้งเดิมได้แรงบันดาลใจมาจากคลับแจ๊ซในปารีส จนต้องมาควานหาสถานที่ในลักษณะเดียวกัน ก่อนจะมาลงเอยที่นี่ ซึ่งเคยเป็นหลุมหลบภัยยามถูกโจมตีทางอากาศในสมัยสงคราม

นี่คือทางลงของ เดอะเคฟเวิร์น ฉบับต้นตำรับ เดินวนๆลงไปสามสี่รอบก็จะถึงตัวร้าน


ภายในของ เดอะเคฟเวิร์น ก็เหมือนกับผับธรรมดาทั่วไปในอังกฤษ กับเวทีขนาดเล็กที่จะมีนักดนตรีผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาเล่นเพลงของ เดอะบีทเทิลส์ เป็นหลัก แต่วันที่ไป รู้สึกจะมีเฉไฉไปเล่นเพลงของคนอื่นในยุคไล่เลี่ยกันด้วย

โปสเตอร์เก่าๆโฆษณาคอนเสิร์ตของเซอร์ พอลสมัยยังแวะกลับมาเล่นที่นี่เป็นครั้งคราว
นอกจาก เดอะเคฟเวิร์น แล้ว ในย่าน แม็ทธิว สตรีท ยังมีสถานที่ที่ข้องแวะกับ บีทเทิลส์ อีกหลายแห่งอย่าง ฟลานาแกนส์ แอปเปิล (Flanagan's Apple) ก็เป็นผับที่เจ้าของร้านอ้างว่าสมาชิกทั้งสี่คนจะแวะมาดื่มกันต่อที่นี่ หลังจากเล่นที่ เดอะเคฟเวิร์น เสร็จแล้ว (ทำไมมันไม่ดริงค์กันต่อที่นั่นเลยวะ)

อีกแห่งก็คือ เดอะบีทเทิลส์ ช็อป (The Beatles Shop) ซึ่งจะขายของที่ระลึกทุกประเภท ตั้งแต่แม่เหล็กติดตู้เย็น โปสการ์ด เรื่อยไปถึงแผ่นเสียง ซีดี และอื่นๆอีกจิปาถะในราคา "สำหรับนักสะสม" หรือแปลไทยเป็นไทยอีกทีได้ว่าแพงเหลือหลาย น่าเสียดายที่ทางร้านเซย์โนห้ามถ่ายรูป เลยได้แต่ภาพด้านหน้ามาให้ดูกันเท่านั้น

ว่าจะเขียนสั้นๆ ไปๆมาๆกว่าจะจบก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ไว้คราวหน้าไปตามรอย บีทเทิลส์ กันแบบเสียเงินร้อยเปอร์เซนต์ดีกว่า...